Quantcast
Channel: Sira Ekabut –เทพเอ็กเซล : Thep Excel
Viewing all 211 articles
Browse latest View live

การตั้งค่าให้ Excel รู้จักวันที่ในรูปแบบที่ต้องการ เช่น วัน/เดือน/ปี ไม่ใช่ เดือน/วัน/ปี

$
0
0

ต้องบอกก่อนเลยว่าเรื่องวันที่และเวลา เป็นเรื่องที่หลายคนไม่เข้าใจ และอาจจะกำลังปวดหัวกับมันอย่างมาก ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ทำให้หลายท่านปวดหัวแบบสุดๆ ไปเลยก็คือเรื่องของ “รูปแบบวันที่”

นี่คือตัวอย่างกรณีที่ตั้งค่าผิด

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เราตั้งใจพิมพ์รูปแบบวันที่ในรูปแบบ วัน/เดือน/ปี

แต่หารู้ไม่ว่าคอมพิวเตอร์ที่เรากำลังใช้อยู่ดันถูกตั้งค่าใน Control Panel ให้เป็น เดือน/วัน/ปี ผลลัพธ์ที่ได้เลยมั่วนิ่มเลย!!

อธิบายความผิดพลาด

  • 13/4/2017 ถูกจัดชิดซ้าย (เป็น Text) เพราะมันไม่รู้จัก เดือนที่ 13 นั่นเอง (วันที่ 4 เดือน 13 ค.ศ. 2017 ???)
  • แปลว่าเลข 10/4/2017 ที่เราเข้าใจว่าถูกต้อง จริงๆ ก็ผิดด้วย เพราะ Excel เข้าใจว่าเป็นวันที่ 4 ตุลาคม แต่จริงๆ เราต้องการเป็นวันที่ 10 เมษายนต่างหาก!!
  • ส่วนการที่ 3/5/2017 ลาก Fill Handle ลงมาแล้วเหมือนว่าเดือนจะเปลี่ยน จริงๆ แล้วสิ่งที่เปลี่ยนคือวันที่ถูกแล้ว แต่เพราะวันที่อยู่ตรงกลางเราเลยสับสน(เอามากๆ!)

ดังนั้นจะเห็นว่า การตั้งค่าแบบ เดือน/วัน/ปี จะทำให้พวกเราคนไทยสับสนเอามากๆ เลย ผมจึงอยากขอเชิญชวนให้มาตั้งค่าเป็น วัน/เดือน/ปี ดีกว่าครับ ยกเว้นว่าที่บริษัทของคุณตกลงกันไว้ว่า จะให้กรอกเป็น เดือน/วัน/ปี ทั้งบริษัทเลย แบบนั้นก็ไม่มีปัญหาครับ ตราบใดที่คุณรู้ว่ากำลังทำอะไร และเพื่อนร่วมงานของคุณตั้งค่าแบบเดียวกัน มันก็น่าจะ ok

รู้ได้ยังไงว่าคอมพิวเตอร์ของเรากำลังใช้ Format แบบไหน?

มี 2 วิธีครับ

  1. ลองกรอกวันที่ ที่มากกว่า 12 ดู เช่น วันสงกรานต์ก็ได้ 13/4/2017 ว่า Excel รู้จักหรือไม่? (ถ้ารู้จักจะต้องชิดขวา ไม่รู้จักจะชิดซ้าย)
    • ถ้าออกมาเป็นชิดซ้าย (Excel ไม่รู้จักว่าเป็นวันที่) แสดงว่าตั้งค่าใน Control Panel ผิด
  2. ลองกด Ctrl+; เพื่อ Stamp ค่าวันที่ปัจจุบันก็ได้
    • ถ้าออกมาไม่ใช่ วัน/เดือน/ปี แสดงว่าตั้งค่าผิด

วิธีตั้งค่ารูปแบบวันที่ใน Control Panel

เดี๋ยวเราจะไปเปลี่ยนค่า Region Format ใน Control Panel กันครับ ซึ่งขั้นตอนจะขึ้นกับ Version ของ Windows เลยครับ

หลังจากทำตาม Step เหล่านี้เสร็จ Excel จะรู้จักวันที่ในรูปแบบ วัน/เดือน/ปี ทันทีโดยไม่ต้อง Restart โปรแกรมเลยนะครับ
แต่อะไรที่พิมพ์พิมพ์ผิด Format ไปแล้วมันก็จะหลายเป็น Text แบบถาวรเลย ไม่ได้มีการ Convert ให้นะครับ !!

ถ้าเป็น Windows 10

1.ให้คลิ๊กที่รูป Windows แล้วไปเลือก Settings ที่เป็นรูปเฟืองก่อน

2. เลือก Time & Language

3. เลือก Additional Date Time & Regional Settings

4. เลือก Region แล้วไป Tab ชื่อ Format แล้วเลือก Thai แล้ว OK

ถ้าเป็น Windows 7

1. เลือก Control Panel

2. ไปที่ Clock, Language, and Region

3. เลือก Region and Language แล้วไป Tab ชื่อ Format แล้วเลือก Thai แล้ว OK


อะไรจะเกิดขึ้น? เมื่อใส่วันที่ใน Excel ด้วยปี พ.ศ. แทนที่จะใส่ ค.ศ.

$
0
0

หลังจากบทความที่แล้ว ผมได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการตั้งค่าวันที่ให้ถูกต้องแล้ว (เรื่อง วัน/เดือน/ปี หรือ เดือน/วัน/ปี )

มาวันนี้ ผมจะขอย้ำอีกเรื่องนึงซึ่งเกี่ยวกับวันที่เช่นเดียวกัน (ซึ่งจริงๆ ได้พยายามย้ำหลายครั้งแล้ว)
นั่นก็คือ… การทำงานเกี่ยวกับวันที่ใน Excel เราจะต้องใส่ปีเป็น ค.ศ. ไม่ใช่ พ.ศ. 
เช่น หากต้องการใส่วันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2560 ให้ใส่ว่า 27/4/2017 ไม่ใช่ 27/4/2560 !

เพราะถ้าใส่เป็น 27/4/2560 …Excel จะคิดว่าเราหมายถึง 27 เมษายน ค.ศ. 2560 ซึ่งเป็นวันในอนาคตอีก 543 ปี!! (บ้าไปแล้ว)

บางคนถึงรู้อย่างงี้ก็บอกว่า… ฉันไม่แค่ร์หรอก! ก็เรารู้เองว่าจริงๆ มันคือ พ.ศ. 2560 ก็ได้ ยิ่งถ้านัดกับเพื่อนๆ ร่วมงานทุกคนให้ร่วมใจกันเข้าใจว่ามันเป็น พ.ศ. ก็น่าจะใช้ได้นี่นา? (เหมือนอุปาทานหมู่ หรือพวก ทฤษฎีสมคบคิดเลยแฮะ)

ผมจะบอกว่าถึงเราจะฮั้วกับเพื่อนแล้วมันก็จะผิดอยู่ดี ซึ่งผมจะแสดงให้เห็นชัดๆ ว่ามันไม่ ok ยังไงบ้าง?

ถ้าใส่เป็น พ.ศ. จะผิดยังไง?

จะเห็นว่า ถ้าใส่เป็น พ.ศ. แล้ว…

  1. Excel จะไม่รู้จักวันที่ 29 กุมภา ในปีที่ควรรู้จัก แต่ดันไปคิดว่ามี 29 กุมภาในปีที่ไม่ควรจะมีแทน! (แปลว่า ถ้านับระยะห่างของวันก็อาจจะผิดได้ด้วย)
  2. เรื่องการตรวจสอบว่าวันนั้นเป็นวัน จันทร์,อังคาร,พุธ,พฤหัส,ศุกร์,เสาร์,อาทิตย์ จะผิดไปโดยสิ้นเชิง (แปลว่า ถ้าใช้พวก NETWORKDAYS, WORKDAYS เพื่อทำงานเกี่ยวกับวันทำงาน/วันหยุด ก็จะผิดเช่นกัน)

วิธีตรวจสอบง่ายๆ ว่าใส่ถูกหรือผิด

วิธีดูง่ายๆ เลยว่าใส่ถูกหรือไม่ถูก ให้ลองเปลี่ยน Format เป็น General ดู ถ้าเลขออกมาประมาณ 4 หมื่นกว่าๆ ก็น่าจะถูก แต่ถ้าออกมา 2 แสนนี่ผิดละ (เฉพาะกรณีที่เราใช้วันที่ในยุคปัจจุบันนะ)

แล้วถ้าเราอยากให้มันแสดงเป็นปี พ.ศ. จะให้ทำไง?

วิธีจะใส่ข้อมูลด้วย ปี. ค.ศ. แต่จะให้แสดงเป็น ปี พ.ศ. น่ะเหรอครับ ง่ายที่สุดคือ ทำการเปลี่ยน Number Format ซะ

โดยเลือก Cell/Range ที่ต้องการเปลี่ยน Format แล้วคลิ๊กขวา เลือก Format Cells… แล้วทำตามรูป

ถ้าอยากกรอกเป็น ปี พ.ศ. จริงๆ แต่ให้ถูกต้องล่ะ จะทำยังไง?

จริงๆ มันก็ตั้งค่าให้กรอกเป็น พ.ศ. ได้ครับ แต่จะยุ่งยากหน่อย และห้ามลืมด้วย (ไม่งั้นก็ผิดอีก)

แต่ถ้าดึงดันว่าอยากจะทำจริงๆ ก็ทำตามนี้ครับ
คือต้อง set format ตามนี้ (ติํก Input Dates According to Selected Calendar ) ก่อนพิมพ์วันที่ลงไปนะ

 

 

แนวทางจัดการวันที่สุดมั่ว (ผิดไปแล้วทำไงดี)

$
0
0

างที่ผมพยายามเตือนเรื่องการกรอกข้อมูลวันที่ไปแล้ว 2 ตอนด้วยกัน

สมมติว่าคุณแก้ไขตามที่ผมบอกไปแล้ว แปลว่าการกรอกวันที่ในอนาคตไม่น่าจะผิดอีกแล้ว แต่ของในอดีตที่เคยผิดไปแล้วจะทำไงดีล่ะ?

วันนี้ผมเลยทดลองกรอกวันที่มั่วๆ ลงไปในหลายๆ รูปแบบ แล้วลองเขียนสูตรดูซิว่าจะช่วยจัดการให้เข้าร่องเข้ารอยได้หรือไม่? แบบว่าอัดสูตรแบบ combo เข้าไปแบบเดียวกันดูเลยว่ามีใครรอดมั้ย?

ดาวน์โหลดไฟล์

ไฟล์ที่ผมลองทำ => mess-up-date2

Screenshot การทำ

มีหลายขั้นตอนมาก

หลักๆ คือ ผมก็คิดก่อนว่า ตัวเองรู้ได้ไงว่าวันที่อันไหนผิด ด้วยวิธีอะไร แล้วจะแก้ให้ถูกต้องได้ยังไง? แล้วเอาสิ่งนั้นแหละมาเขียนเป็นสูตร

ผมก็เลยพยายามแยก ปี เดือน วัน ออกมา แล้วลอง adjust เช่น ลบ 543 หรือ สลับวันกับเดือน

แล้วสุดท้ายเอาไปตรวจว่าอยู่ในช่วงวันที่ที่ต้องการหรือไม่? (กำหนดอยู่ข้างบน ซึ่งเป็นตัวที่ช่วยเช็คได้ดีมากๆ ตัวนึงเลย)

ถ้าอยู่ในช่วงวันที่ที่กำหนด ก็แสดงว่า ok น่าจะถูกครับ (สุดท้ายได้คอลัมน์ R)

โดยสรุป

ผมใช้หลายขั้นตอนมากๆ เพราะมีการ Error หลากหลายรูปแบบเหลือเกิน

แต่จะมีวันที่บางอันที่ผิดแล้วไม่มีทางรู้ เช่น 3/2/2017 กับ 2/3/2017 ไม่รู้เลยว่าจริงๆ หมายถึง 3 กพ. หรือ 2 มีค. กันแน่? อันนี้คุณเองแหละที่ต้องรู้ดีที่สุดนะครับ ว่างานของคุณแต่ละอันมันน่าจะอยู่ในเดือนไหน?

ใครลองทำตามนี้แล้วได้ผลหรือไม่ได้ผลยังไงช่วยบอกด้วย เผื่อผมจะได้ช่วยเขียนดักเพิ่มให้อีกนะครับ แต่ดีสุดคือ “กันไว้ดีกว่าแก้” นะครับ ^^

 

วิธีทลายข้อจำกัดหน้าตาของ PivotTable ด้วย OLAP CUBE Formula

$
0
0

จากที่ผมได้ Post ถามหยั่งเชิงใน Facebook ไปว่าใครสนใจวิธีทำลายข้อจำกัดเรื่องหน้าตาของ PivotTable บ้าง? ปราฏว่ามีคนให้ความสนใจเยอะมากๆ ดังนั้นผมเลยขอมาเขียนบทความอธิบายให้เล็กน้อยครับ

PivotTable นั้นสร้างง่ายมาก แต่จัด Layout ไม่ได้ดั่งใจ

ข้อดีสุดๆ ของ PivotTable นั้นคือ ใช้งานง่ายมาก เรียนรู้แป๊ปเดียวก็เป็นแล้ว และใช้เวลาสร้างแป๊ปเดียวก็ได้ตารางสรุปข้อมูลที่พร้อมจะนำคำตอบที่ได้ไปเสนอผู้บริหารแล้ว

แต่สิ่งที่มักจะเกิดขึ้นตามมาคือ คำพูดของหัวหน้าที่บอกว่า “รายงานนี้มันหน้าตาไม่สวยเลย ช่วยจัด xxx เว้นบรรทัด yyy แทรกคอลัมน์ zzz หน่อยสิ”

แล้วคุณก็คงตอบกลับไปแบบสุภาพว่า “อ๋อ ทำไม่ได้ครับ…มันเป็นข้อจำกัดของ PivotTable ครับหัวหน้า” ทั้งๆ ที่จริงๆ อาจอยากตะโกนตอบกลับไปว่า “PivotTable มันแทรกบรรทัดไม่ได้เฟ้ย!”

วิธีจัด Layout ที่อาจพอรู้กันอยู่แล้ว

แต่ถ้าคุณอยากจะทำให้รายงานมันสวยได้ดั่งใจจริงๆ ก็มีวิธีที่หลายคนอาจจะรู้อยู่แล้ว ดังนี้

  1. Copy Pivot แล้ว Paste Value เพื่อเอาไปทำรายงาน : วิธีนี้ไม่แนะนำเป็นอย่างยิ่ง เพราะเสียความสามารถในการ Refresh ข้อมูลไปเลย ควรทำเฉพาะกรณีที่คิดว่าทำครั้งเดียวในชีวิต ไม่ต้องทำอีกแล้ว 555
  2. ใช้ GETPIVOTDATA : ปกติเวลากด = แล้วคลิ๊กไปในพื้นที่ Pivot แต่ละ Cell มันจะดึงข้อมูล Cell นั้นมา โดยสร้างสูตรยาวๆ ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า GETPIVOTDATA มาให้ด้วย
    • ซึ่งข้อดีคือ ไม่ว่า Pivot Table ต้นทางจะย้ายไปไหน หรือมีการ Filter Row/Column Label บางอย่างจนข้อมูลเลื่อนไปที่อื่น เจ้า GETPIVOTDATA จะยังเอาข้อมูลที่ถูกต้องมาให้
    • ข้อเสียคือ จะต้องกด = จิ้มทีละ Cell หรือเขียนสูตรทีละ Cell ซึ่งลำบากมากกว่าจะได้ครับ
  3. กด = แล้วจิ้ม แบบ Cell Reference ปกติ : บางคนไม่ชอบ GETPIVOTDATA เลยไปเลือก Option ให้ Excel ไม่ต้องสร้างเจ้าฟังก์ชันนั้นขึ้นมาให้ (ติ๊ก Generate GetPivotData ออก) โดยอยากให้จิ้มแล้วเป็น Cell Reference ธรรมดาแทน จะได้เขียน/copy สูตรง่ายๆ
    • ข้อดี : เขียนง่ายมาก แค่ = แล้วจิ้ม จากนั้น Copy มาได้ตามปกติ
    • ข้อเสีย : เสี่ยงต่อการที่ PivotTable เลื่อนจากที่เดิม ทำให้ได้ข้อมูลที่ผิดกลับไปโดยไม่รู้ตัว
  4. เลิกใช้ Pivot หันมาเขียนสูตรแทน : วิธีนี้เรียกว่าเปลี่ยนแนวโดยสิ้นเชิง เขียนสูตรเอาเองดีกว่า ไม่ง้อ Pivot ก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นสูตรง่ายๆ อย่าง SUMIFS หรือจะใช้ Data Table มาช่วย หรืออาจจะใช้ Array Formula กรณีที่การคำนวณซับซ้อน
    • ข้อดี : มีความยืดหยุ่นสูงกว่า Pivot
    • ข้อเสีย : เขียนสูตรยาก (บางคนเจอตรงนี้ก็ยอมแพ้แล้ว) และอาจคำนวณช้ากว่า Pivot

แต่วันนี้ผมมีอีกวิธีมาแนะนำครับ นั่นคือ ใช้ความสามารถที่เรียกว่า OLAP CUBE Formula

วิธี OLAP CUBE Formula

วิธีนี้ดีตรงที่ ไม่ต้องเขียนสูตรเอง และยังสามารถอัปเดทผลลัพธ์ได้เมื่อข้อมูลต้นทางเปลี่ยน เช่นเดียวกับ PivotTable เลย แต่ผมจะไม่ขอพูดทฤษฏี ณ ตอนนี้แล้วกันเอาเป็นว่าบทความนี้มาลองทำกันเลยนะครับ

ผมจะขอแบ่งออกเป็น 2 วิธี คือ 1. ใช้ Data Model (Excel 2013 ขึ้นไป) 2. ใช้ PowerPivot (ซึ่งใช้ได้ตั้งแต่ Excel 2010 แต่ต้องลง Add-in) ซึ่งวิธีแรกน่าจะง่ายกว่าสำหรับคนส่วนใหญ่ครับ

ใช้ Data Model (Excel 2013 ขึ้นไป)

มี Step ประมาณนี้

  1. ตอนจะสร้าง PivotTable ให้ติ๊กช่อง Add to Data Model ด้วย
  2. สร้าง Pivot ให้สรุปข้อมูลตามปกติ เอาให้คล้ายรายงานที่ต้องการมากที่สุดก่อน
  3. ไปคลิ๊ก OLAP Tools -> Convert to Formulas…
    • เพียงเท่านี้ PivotTable ก็จะถูกแปลงเป็น Cell ที่เต็มไปด้วยสูตร CUBE ซึ่งข้อมูลแต่ละช่องจะแยกออกจากกัน
  4. จัด Layout ตามใจชอบ – คุณจะแทรกคอลัมน์ยังไง โยกข้อมูลยังไง ก็สามารถทำได้แล้ว

จะเห็นว่า ผมจะปรับแต้งหน้าตายังไงก็ได้เลย ซึ่งอิสระขึ้นมากๆ ครับ ^^

ใช้ PowerPivot (Excel 2010 ขึ้นไป)

มี Step ประมาณนี้

  1. ถ้ายังไม่มี PowerPivot ให้ไปโหลดมา install ก่อน => Download ที่นี่
  2. Add Data เข้า Power Pivot โดยกดปุ่ม Create Linked Table
  3. สร้าง Pivot จากหน้าต่าง PowerPivot
  4. จากนั้นก็เหมือนแบบวิธี Data Model แล้วล่ะ จัดระเบียบแล้วกด Convert to Formulas โลด!
  5. Pivot จะถุกกระจายกลายเป็นสูตรที่แยกกันคนละช่องเช่นเดียวกับวิธีข้างบนครับ

ผลลัพธ์ยังสามารถผูกกับ Slicer ได้เช่นเดิม

หากตอนแรก Pivot ของเรามีการผูก Slicer ไว้ หลังจากแปลงเป็น CUBE Formula แล้ว Slicer ก็ยังทำงานได้นะครับ

หลังกด Slicer ผลลัพธ์ก็จะถูกตัดกรองเช่นเดียวกับ PivotTable ปกติเลย!!

แปลว่า เราสามารถเอาวิธีการนี้ ไปสร้าง Dashboard เท่ๆ ได้เลยนะ!!

CUBE เป็นสูตร แต่ยังต้องกด Refresh เช่นเดียวกับ Pivot

เนื่องจากสูตรแบบ CUBE เป็นการเชื่อมต่อกับฐานข้อมูล ดังนั้นเวลาทำงานจริง หากข้อมูลต้นทางเปลี่ยนไป จะต้องมีการกด Refresh ก่อน ผลลัพธ์จึงจะเปลี่ยน เช่นเดียวกับ Pivot Table ซึ่งเรา Refresh ได้ 2 ที่ คือ

Refresh ที่ Data Connections

ซึ่งสามารถ Refresh ได้ที่เครื่องมือ Data -> Refresh All ครับ

อย่าลืม!! ถ้าเราไม่ Refresh ผลลัพธ์จะไม่เปลี่ยนนะ

Refresh ที่ PivotTables

แต่ถ้าใครไม่ชอบวิธีนี้ จะกด Refresh ที่ PivotTables ก็ได้นะ แต่ต้องทำการเก็บ Pivot ไว้อย่างน้อยอันนึงก่อนที่จะแปลงเป็น OLAP Formula นะครับ (ถ้าแปลงไปแล้ว จะกดที่กด Refresh แบบ Pivot ไม่เจอ)

คราวนี้เราจะ Refresh ที่ Pivot ได้ตามปกติแล้ว

จบแล้ว

หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์ในการทำรายงานของเพื่อนๆ นะครับ ใครเห็นว่าเป็นประโยชน์ก็ช่วยบอกต่อหน่อยนะครับ ^^
ส่วนใครลองทำตามนี้แล้วติดปัญหาอะไรก็สอบถามมาได้ครับ

 

รวม Links สอน Excel เว็บเมืองนอก (ภาษาอังกฤษ)

$
0
0

ต้องยอมรับเลยว่า แหล่งเรียนรู้ Excel ที่มีเนื้อหาเยอะที่สุด ละเอียดที่สุดก็ไม่พ้น “เว็บจากเมืองนอก” ไปได้หรอกครับ

อ่อ! ไม่ต้องห่วงไป ถ้าเป็น web ที่เป็นแนว Video สอนเนี่ย ถึงภาษาอังกฤษไม่เก่งก็พอรู้เรื่องครับ เพราะเค้าทำให้ดูละเอียดเลยล่ะ แต่ก็ต้องยอมรับว่าคนที่จะสามารถดึงเอาประโยชน์จากเว็บเหล่านี้ได้มากกว่า ก็คือคนที่อ่าน/ฟัง ภาษาอังกฤษได้ดีครับ

ดังนั้นจงให้ความสำคัญกับทักษะภาษาอังกฤษด้วยนะครับ แปลกดีที่เว็บเหล่านี้ไม่ได้หาเจอง่ายๆ จากการใช้ Google นะครับ ดังนั้นผมคิดว่าบทความนี้น่าจะมีประโยชน์ต่อคนที่ใฝ่รู้มากๆ ครับ ^^

  • Excel is Fun
    • ช่อง youtube มีคลิปวีดีโอเยอะหลายพันคลิป สอนละเอียดมาก ซึ่งครอบคลุมความรู้ Excel เกือบทุกด้าน ยกเว้นแค่ VBA เท่านั้นเอง (ก่อนผมจะสมัครงานธนาคารที่ผมทำอยู่ ผมฟิตตัวเองจากเว็บนี้จากที่เคยไม่ค่อยรู้เรื่อง Excel มากนัก จนชำนาญมากขึ้นจนถึงทุกวันนี้ อันนี้จึงเปรียบเสมือนอาจารย์ของผมเลยครับ เลยขอเอามาแนะนำก่อน)
    • youtube : https://www.youtube.com/user/ExcelIsFun
    • web : https://people.highline.edu/mgirvin/excelisfun.htm (ไฟล์ประกอบ)
  • Excel Easy
    • เว็บนี้มีเนื้อหาครอบคลุมทุกด้าน เน้นเรื่องการเขียนแบบเข้าใจง่ายๆ สั้นๆ ซึ่งก็เข้าใจง่ายสมชื่อจริงๆ ครับ
    • web : www.excel-easy.com
  • Contexture
    • เว็บนี้มีเทคนิคเจ๋งๆ เพียบ และมี script VBA สำคัญๆ ที่เอาไว้ใช้ในยามจำเป็นด้วยนะ
    • web : http://www.contextures.com/
    • web : http://www.pivot-table.com/ (อันนี้เค้าแยกมาทำเรื่อง PivotTable โดยเฉพาะ)
  • Excel Jet
    • เว็บนี้เขียนบทความได้ละเอียดและเข้าใจง่ายมากครับ มีสอนด้วยวีดีโอด้วย
    • web : https://exceljet.net/
  • Mr Excel
    • Excel เว็บบอร์ดที่มีคนเก่งๆ เยอะแยะ และสินค้าเกี่ยวกับ Excel มากมาย ช่อง youtube ก็มีเทคนิค Excel เยอะใช้ได้ครับ
    • web : http://www.mrexcel.com/
    • youtube : https://www.youtube.com/user/bjele123
  • Chandoo
    • เว็บนี้เก่งเรื่องการทำ Dashboard และ Visualization มากๆ ครับ เขียนเข้าใจง่ายด้วย
    • web : chandoo.org
  • Peltiertech
    • เว็บนี้เน้นเรื่องสอนการทำกราฟด้วยเทคนิคเจ๋งๆ คนรักการทำกราฟพลาดไม่ได้เล
    • web : http://peltiertech.com/
  • E90E50 Charts
    • รวมตัวอย่างการทำกราฟแบบสร้างสรรค์ (สุดๆ) บางอันอาจต้องใช้ VBA มาช่วยด้วย
    • web : https://sites.google.com/site/e90e50charts/
  • PowerPivot Pro
    • แหล่งเรียนรู้เรื่อง PowerQuery, PowerPivot, PowerBI ที่ดีใช้ได้เลยครับ
    • web : https://powerpivotpro.com/
  • SQL BI
    • แหล่งเรียนรู้เรื่อง PowerPivot, DAX Formula จากระดับปรมาจารย์ครับ มีการรวม DAX Pattern ยากๆ เอาไว้ให้ศึกษาด้วย
    • web : https://www.sqlbi.com/
  • Decision Model
    • เว็บนี้เน้นทุกอย่างไปที่วิธีทำให้ Excel คำนวณได้เร็วที่สุด! คนที่มีปัญหาเรื่องความเร็วพลาดไม่ได้เลยครับ
    • web : http://www.decisionmodels.com/index.htm(หลักการคำนวณของ Excel)
    • web : https://fastexcel.wordpress.com/ (ทำให้การสร้างฟังก์ชันใช้เองใน VBA เร็ว)
  • Excel TV
    • ช่องนี้เป็นรายการพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้าน Excel หลายๆ ท่าน ซึ่งมีเทคนิคเจ๋งๆ มากมาย
    • youtube : https://www.youtube.com/user/ExcelTVShow
  • WiseOwl Training
    • ช่องนี้มี Tutorial เยอะมาก ทั้ง Excel VBA และโปรแกรมอื่นๆ เช่น ภาษา C, SQL Server
    • youtube : https://www.youtube.com/user/WiseOwlTutorials
  • Excel VBA IS FUN
    • อันนี้คนทำเค้าชอบ Channel ExcelIsFun มาก เลยอยากทำเนื้อหาในสิ่งที่ ExcelIsFun ไม่มี นั่นคือ VBA นั่นเอง
    • youtube : https://www.youtube.com/channel/UC9OIUFZfYqELCFwWxT7OpKQ
  • Trump Excel

วิธีนับข้อมูลใน Pivot แบบไม่นับตัวที่ซ้ำกัน (Distinct Count)

$
0
0

เวลาที่ใช้ PivotTable เพื่อวิเคราะห์ข้อมูล หลายๆ คนน่าจะมี Moment ที่อยากสรุปข้อมูลโดยนับจำนวนสิ่งที่สนใจแบบไม่ซ้ำกันบ้างแหละ…

เช่น ในแต่ละเดือนมีลูกค้ามาซื้อของกี่คน อยากจะนับแบบไม่ซ้ำกันด้วย เพื่อที่จะดูว่ายอดขายมันเกิดจากลูกค้าจำนวนมากน้อยแค่ไหนด้วย เพราะบางทีการที่ยอดขายเยอะอาจเกิดจากลูกค้ากลุ่มเดิมๆ คนเดิมๆ ตลอดก็ได้

“แต่การนับแบบนี้มันเป็นเรื่องยากมากเลยนะ จะให้นับยังไงล่ะ ก็ใน Pivot มันมีแต่ Count กับ Count Number นี่นา?” นี่คงเป็นสิ่งที่หลายคนคิดมาโดยตลอด

ผมอยากจะบอกว่า ใช่ครับ มันเคยเป็นเรื่องยากมากๆ แต่ว่าตั้งแต่ Excel 2010 เป็นต้นไป หากเราใช้ Concept ของ Data Model เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลแล้วล่ะก็….

Pivot Table มันจะมีความสามารถใหม่เพิ่มขึ้นมานั่นก็คือ Distinct Count นั่นเอง!! และเรื่องของเรื่องคือ มันทำง่ายมากกกกกกกก!!

วิธีการทำให้ PivotTable นับแบบ Distinct Count

1. ต้องสร้าง PivotTable แบบที่ใช้ Data Model เข้าช่วย
(ถ้าใครใช้ Excel 2010 ต้องสร้างผ่าน PowerPivot รายละเอียดคล้ายๆ บทความ OLAP CUBE อันนี้ครับ)

2. ทำการจัด PivotTable ตามรูปแบบที่ต้องการก่อน

3.คลิ๊กขวาที่ Field ที่ต้องการเปลี่ยน เลือก Summarize Value By –> More Options…

4.เลือก Distinct Count กด ok จบ!

แค่นี้ผลลัพธ์ก็ออกมาแล้ว ง่ายมากๆ จริงมั้ยครับ ^^

ช่วยกันบอกต่อ

ใครชอบบทความนี้ ก็ช่วยนำไปบอกต่อให้กับเพื่อนๆ ของคุณหน่อยนะครับ ผมว่ามันมีประโยชน์ต่อคนหมู่มากจริงๆ นะ อยากให้คนไทยสามารถใช้ Excel ทำงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพครับ

 

 

วิธีใช้ Slicer แทน Dropdown หลายชั้น

$
0
0

ผมเคยได้อธิบายวิธีทำ Dropdown หลายชั้นไปแล้ว คราวนี้เราจะมาลองใช้ Slicer ทำแบบนั้นกันบ้างครับ ซึ่งตอน post แบบน้ำจิ้มไว้ใน Facebook ผมแสดงเทคนิคที่ต้องใช้ Excel 2013 ขึ้นไปดังนี้ แล้วบอกว่าจะเขียนวิธีทำแบบละเอียดให้

แต่เผอิญวันนี้ผมมาต่างจังหวัด ในคอมมันมีแต่ Excel 2010 …

ดังนั้นเดี๋ยวผมจะเปลี่ยนวิธีมาใช้แบบที่ Excel 2010 ขึ้นไปทำได้ครับ (แต่มันไม่เจ๋งเท่า Excel 2013)

วิธีทำแบบที่ Excel 2010 ทำได้

ก่อนอื่นให้เตรียมตารางความสัมพันธ์ของข้อมูลเอาไว้ก่อน เช่น

จากนั้นกด Convert เป็น Table (Ctrl+T) เดี๋ยวเราจะเอาไป Pivot ครับ

แล้วเราก็เอาไป Pivot แล้วเอา ทุก Field ไปไว้ที่ Row Label

เปลี่ยน Layout เป็น Tabular Form (อยู่ใน Ribbon Design)

เลือก Do not show subtotal

คราวนี้ใส่ Slicer ทั้ง 3 อัน

ลองเลือกดู ก็จะเห็นว่ามันทำงานได้แล้ว แต่มันดันแสดง Item ที่ไม่เกี่ยวข้องอยู่ แต่จะเป็นสีเทาๆ แล้วจะแสดงอยู่ท้ายๆ (ก็ไม่แย่มากนะผมว่า ^^ )

ซึ่ง Excel 2013 ขึ้นไป จะสามารถไปที่ Slicer Setting แล้วซ่อน Item ที่ไม่เกี่ยวข้องได้

แต่ Excel 2010 ผมเข้าใจว่าทำไม่ได้ครับ  ผมก็เลยต้องใช้วิธีปรับสีของ Slicer ให้ Item ที่ไม่ได้เลือกมองไม่เห็นซะ (หลอกตาคนดูเอา)

โดยผมแนะนำให้ Duplicate  Style เดิมที่คุณชอบออกมา แล้ว Modify แก้ Style ของ Selected Item with no Data กับ Unselected item with no data ให้กลายเป็นสีขาวไปเลยก็ได้ 555

จากนั้นลองเล่นดู แค่นี้ก็ดูเนียนแล้ว 5555

อย่าลืมนะครับ ถ้าถูกใจช่วยบอกต่อด้วยนะ ^^

แจกฟรี รวม Bookmark เว็บ Excel เจ๋งๆ ทั้งไทยและเทศ

$
0
0

ถ้าใช้ Chrome ให้ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้

  1. โหลดไฟล์ได้ที่นี่ => https://drive.google.com/file/d/0B4xG7-sIyJBDTFhscW84WmpSSkk/view?usp=sharing

    แล้ว save ลง folder ที่ต้องการ
  2. ไปที่ Bookmark Manager (หรือกด Ctrl+Shift+O)
  3. ไปที่ Organize -> Import bookmark from HTML file
  4. มันจะโหลดมาไว้ใน Folder Imported ซึ่งจะโผล่มาล่างสุด ซึ่งถ้าอยู่ท้ายเกินไปจนมองไม่เห็น ให้ลากขึ้นมาไว้บนๆ
  5. ถ้าให้ดี ลาก Folder inwExcel Link ออกไว้ในในชั้นนอกสุด (นอก Imported) จะได้เห็นชัดๆ เลยดีกว่า
  6. เพียงเท่านี้ก็เสร็จแล้ว คราวต่อไปจะได้เข้าไปอ่านเว็บเหล่านี้ได้ง่ายๆ ครับ
    นี่เว็บไทย

    นี่เว็บเมืองนอก


หายหัวร้อน! ไขความลับวิธีคำนวณดาเมจเกม ROV และ ผลจากการออกของต่างๆ

$
0
0

ผมเพิ่งได้มีโอกาสเล่นเกม ROV (Realm of Valor) มาประมาณ 2-3 อาทิตย์ ซึ่งบอกเลยว่าเล่นแล้วติดมาก เพราะมันสนุก 555

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมหงุดหงิดมาก คือ มันหาข้อมูลยากมากเลยว่าวิธีคำนวณค่าดาเมจต่างๆ ในเกม มันคิดยังไงกันแน่? (คือพอนึกออกมะ? มันเป็นเกม ดังนั้น มันต้องมีกฎที่ชัดเจนแน่นอน แค่เรายังหาไม่เจอ)

ซึ่งถ้าเรารู้กฎของเกม รู้วิธีคำนวณต่างๆ มันจะทำให้เราเลือกกลยุทธ์การเล่นที่เหมาะสมได้นะ !!

ผมพยายามหาทั่วอินเตอร์เนตแล้วก็หาไม่เจอซักที สงสัยอาจเป็นเพราะต้องหาเป็นภาษาจีนรึเปล่าไม่รู้? แต่ช่างเถอะ ไหนๆ เกมมันก็มีโหมดฝึกซ้อมให้ปรับค่าเล่นได้ และมีโหมดสร้างเกมให้เราชวนเพื่อนมาทดลองการออกของได้อยู่แล้ว

ผมก็เลยถือโอกาสนี้ทำตัวเป็นนักวิทยาศาสตร์ทำการทดลองและไขความลับเองซะเลย!! ซึ่งผมจะอธิบายวิธีการทดสอบทีละขั้นตอน แต่ถ้าใครใจร้อนก็เลื่อนไปดูสรุปผลการทดลองท้ายบทความได้เลย

ค่า Stat พื้นฐานของแต่ละตัวละครไม่เหมือนกัน

ตัวละคนแต่ละตัว จะมี Stat พื้นฐานไม่เหมือนกัน
และเมื่อ Level Up จะมี Stat บางตัวเพิ่มขึ้นทำให้ตัวละครเก่งขึ้น แต่ Stat บางตัวจะไม่เพิ่มขึ้นนะ

ที่น่าสนใจคือ ไม่มีตัวไหนมี Stat พลังเวทติดตัวมาเลย และ การต้านทานเวท ทุกตัวเท่ากันหมดทุก Level เลย

Stat Hero ที่ Level 15

และนี่คือ Stat  Hero ที่ Level 15 โดยไม่มีการออกของ และไม่มีการใส่ Rune เลย (ผมยังเลือกบางตัวไม่ได้ ใครใจดีส่งรูปมาที 555)

การออกไอเท็มเพื่อเพิ่มค่า Stat

ไอเท็มในเกม สามารถออกได้สูงสุด 6 ชิ้นด้วยกัน ซึ่งมีหลักการคิดที่ผลของไอเทมจะแสดงออกมาซ้อนกันด้วย นั่นคือ

  • ถ้าไม่ใช่สกิลติดตัว : จะเอาค่า Effect มารวมกันเลย มีหลายอันก็เอามารวมได้เรื่อยๆ
  • ถ้าเป็น สกิลติดตัว : หากเป็น Effect เหมือนกัน จะเอา Effect อันที่มีค่ามากที่สุดมาอันเดียว

เช่น ผมออก Spooky Mask 2 อัน (ความสามารถของมันคือ +100 พลังเวท และ สกิลติดตัวคือ เจาะเกราะเวท +75)

มันจะ +100 พลังเวท 2 ที รวมเป็น +200 พลังเวท แต่เจาะเกราะเวท +75 ที่เป็นสกิลติดตัวจะมาแค่อันเดียว

แต่ถ้าออก Staff of Nuul ที่ + เจาะเกราะเวท 45% ด้วยมันจะถือว่าเป็นคนละ Effect กัน จึงสามารถแสดงผลได้

นี่ไง ได้ทั้งเจาะเกราะ +75 และ +45% เลย

ดังนั้น การออกสมุดเวท 6 เล่ม จึง +พลังเวท +400*6 = +2400 แต่จะบวกพลังชีวิตแค่ 1400 เท่านั้นนะ

วิธีการคิดค่าดาเมจ

การทดสอบ#1

ผมเข้าโหมดฝึกซ้อม แล้วเอาฮีโร่ไปโจมตีครีป และ Hero อีกฝั่งหนึ่ง โดยที่ไม่ได้ใส่ Item เจาะเกราะเลย แต่มีการเพิ่มพลังโจมตีไปเรื่อยๆ ผลลัพธ์ที่ได้คือ Damage ที่เกิดขึ้นจริงนั้นมีสัดส่วน %ที่คงที่ (%ที่ Damage หายไป คงที่) ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นเพราะเกราะ

การทดสอบ#2

เพื่อให้ได้ค่าของเกราะที่ชัดเจน จึงลองเข้าโหมดสร้างเกมกับเพื่อนอีกคน แล้วจดค่าสถิติต่างๆ เอาไว้

แล้วผลก็ออกมาชัดเลย ว่า % Damage ที่หายไปขึ้นอยู่กับ %เกราะของศัตรู อย่างชัดเจน (ค่า Damage จริง จะแกว่งเล็กน้อย % เลยไม่เป๊ะ)

การทดสอบ#3

จากการที่เพื่อนผมซื้อไอเทมเกราะเพิ่มเติม มันดูเหมือนว่าจจะทำให้ % เกราะเปลี่ยนแปลงไป ผมเลยลองจดข้อมูล เกราะ vs %เกราะ ดูแล้วพบว่ามันมีความสัมพันธ์เป็นกราฟเส้นโค้ง ที่ว่า

  • ช่วงแรกๆ ถ้าเพิ่มเกราะ %เกราะจะเพิ่มเยอะมาก
  • แต่ช่วงหลังๆ เวลาเกราะเยอะแล้ว เวลาเพิ่มเกราะเข้าไป… %เกราะก็จะแทบไม่เพิ่มแล้ว
    (แบบว่าเพิ่มให้ตายก็ไปตันที่ประมาณ 80%)
  • ซึ่งเลขนี้ใช้ได้กับค่า ต้านทานเวท กับ % ต้านทานเวทด้วย ซึ่งเป็นเลขเดียวกันเป๊ะเลย

ตารางเปรียบเทียบทั้งหมด ดูได้ที่นี่

เกราะ/ต้านทานเวท %เกราะ/%ต้านทานเวท
50 7.6%
58 8.8%
67 10.0%
75 11.1%
83 12.1%
84 12.2%
86 12.5%
87 12.6%
88 12.7%
89 12.9%
91 13.1%
92 13.2%
95 13.6%
96 13.7%
100 14.2%
101 14.4%
103 14.6%
104 14.7%
107 15.1%
109 15.3%
110 15.4%
118 16.4%
120 16.6%
121 16.7%
123 17.0%
125 17.2%
126 17.3%
128 17.5%
129 17.6%
135 18.3%
137 18.5%
138 18.6%
139 18.8%
140 18.9%
142 19.1%
143 19.2%
148 19.7%
149 19.8%
152 20.2%
154 20.4%
155 20.5%
156 20.6%
160 21.0%
169 21.9%
170 22.0%
171 22.1%
172 22.2%
176 22.6%
186 23.6%
188 23.8%
189 23.9%
190 24.0%
202 25.1%
205 25.4%
206 25.5%
210 25.9%
211 26.0%
217 26.5%
222 27.0%
223 27.0%
229 27.6%
230 27.7%
231 27.7%
232 27.8%
239 28.4%
240 28.5%
248 29.2%
251 29.4%
255 29.8%
256 29.9%
258 30.0%
263 30.4%
269 30.9%
271 31.1%
272 31.1%
275 31.4%
278 31.6%
282 31.9%
289 32.5%
292 32.7%
293 32.8%
305 33.7%
306 33.7%
308 33.9%
309 33.9%
312 34.2%
313 34.2%
315 34.4%
323 34.9%
326 35.2%
333 35.6%
335 35.8%
336 35.8%
338 36.0%
350 36.8%
353 37.0%
361 37.5%
369 38.0%
371 38.2%
374 38.3%
388 39.2%
394 39.6%
402 40.1%
409 40.5%
414 40.8%
441 42.3%
459 43.3%
467 43.7%
469 43.8%
494 45.1%
569 48.6%
594 49.7%
669 52.7%
694 53.6%
769 56.1%
794 56.9%
894 59.8%
994 62.3%
1094 64.5%
1194 66.5%
1294 68.3%
1394 69.9%
1494 71.3%
1594 72.6%
1694 73.8%
1794 74.9%
1894 75.9%
1994 76.8%
2094 77.7%
2194 78.5%
2294 79.2%
2354 79.6%
2414 80.0%
2474 80.4%
2534 80.8%
2594 81.2%
2654 81.5%

พอไปดูในข้อมูลฮีโร่ในโหมดฝึก เจ้า Thane ในโหมดฝึก มันจะมีเกราะ 259 มาตั้งแต่ต้นที่ Level 1 เลย ( ปกติ Thane Level 1 จะเกราะไม่เยอะขนาดนี้นะ) ซึ่งพอดูจากกราฟโค้งๆ ข้างบน เกราะ 259 มันคือ % เกราะประมาณ 30% พอดี จึงยิ่งมั่นใจว่าผมน่าจะเข้าใจเรื่องกราฟถูกต้อง

การทดสอบ#4

หลังจากนั้นผมลองไปดูเรื่องผลของการเจาะเกราะในโหมดฝึก

ตอนแรกก็ยังดูไม่ค่อยออกว่ามันคำนวณยังไงกันแน่ เพราะ เจาะเกราะดูเหมือนไม่ได้สัมพันธ์กับ Damage ที่หายไปตรงๆ (เช่น เจาะเกราะ 60 ไม่ได้ทำให้ค่า Damage ต่างกัน 60) แต่ที่แน่ๆ การเจาะเกราะ และ % เจาะเกราะ มันทำให้เกราะศัตรูลดลงไป

 

ลองคิดๆๆๆๆๆ

เจาะเกราะ

ถ้าเจาะเกราะ 60 คือการลดเกราะศัตรูลงไป 60 หน่วยล่ะ แล้วค่อยไปดูกราฟโค้งอีกทีว่า % เกราะเหลือประมาณเท่าไหร่?
นั่นคือ เกราะจะเหลือ =259-60 = 199 ซึ่งจะคิดเป็น % เกราะประมาณ 25%
ซึ่งใช่เลย!! จากผลการทดลอง Damage หายไป 24.7% ซึ่งใกล้เคียงมาก

%เจาะเกราะ

แล้ว %เจาะเกราะล่ะ ถ้า 35% มันคือลดเกราะศัตรูไป 35% รึเปล่าน่ะ?
นั่นคือ =259- (35%*259) = 168.35 จากกราฟโค้งได้ 21.9% ซึ่งจากการทดลองคือ 22% ซึ่งมันใช่เลย

ถ้า %เจาะเกราะ คือ 45% ก็ต้องเป็น =259- (45%*259) = 142.45 จากกราฟโค้งจะได้ 19.2% ซึ่งการทดลองได้ 20% ก็ถือว่าตรงนะ

ถ้ามีเจาะเกราะด้วย % เจาะเกราะด้วยล่ะ? จะคิดอะไรก่อนหลัง?

จากที่ผมทดลอง คือ เจาะเกราะ 60    %เจาะเกราะ 45

  • ถ้าคิด %เจาะเกราะก่อน แล้วค่อยคิดเจาะเกราะ
    • เกราะที่ถูกเจาะ =259*45%  + 60 = 176.55
    • เกราะคงเหลือ = 259-176.55 = 82.45 จากกราฟโค้งได้ 12.1%
  • ถ้าคิด เจาะเกราะก่อน แล้วค่อยคิด %เจาะเกราะ 
    • เกราะที่ถูกเจาะ =60 + (259-60)*45%  = 149.55
    • เกราะคงเหลือ = 259-149.55 = 109.45 จากกราฟโค้งได้ 15.3% เป๊ะ!!

แสดงว่ามันเอาเจาะเกราะไปลบก่อน แล้วค่อยเอา %เจาะเกราะไปคิดทีหลังครับ

และหลักการนี้ก็บ่งบอกด้วยว่า เนื่องจากรูปร่างกราฟโค้ง ถ้าเราเจาะเกราะของคนที่มีเกราะเยอะมาก ก็อาจทำให้ % เกราะยังคงเหลือเยอะอยู่เล่นกัน เรียกได้ว่า ช่วงเกราะเยอะ ทั้งเพิ่ม % เกราะยาก และลด % เกราะยากทั้งคู่นั่นแหละ!!
แต่วิธีที่จะลดเกราะของศัตรูที่เยอะๆ ได้ดีที่สุด ต้องเน้น item ที่เจาะเกราะเป็น % มากกว่านะครับ

 สรุปวิธีการคำนวณดาเมจ

  • พลังโจมตีกายภาพ และพลังเวท ใช้หลักการเดียวกันเป๊ะ โดยเทียบกันดังนี้
    • พลังโจมตี (กายภาพ) == พลังเวท
    • เกราะ == ต้านทานเวท
    • %เกราะ == %ต้านทานเวท
    • เจาะเกราะ == เจาะเกราะเวท
    • %เจาะเกราะ == %เจาะเกราะเวท
  • พลังโจมตีถูกต้านทานด้วยเกราะ
    • ดาเมจที่ศัตรูโดน = พลังโจมตี * (1- %เกราะ)
  • เกราะ เป็นตัวสร้าง % เกราะ
    • ยิ่งเกราะ มาก %เกราะ ก็ยิ่งมาก แต่จะเพิ่มในอัตราที่ลดลงเรื่อยๆ (ทั้งเกราะ และ ต้านทานเวท ใช้กราฟโค้งเดียวกัน)
  • เกราะศัตรูสามารถถูกลดลงได้จากการถูก เจาะเกราะ และ % เจาะเกราะ
    • เกราะคงเหลือจะโดน คิดจากเจาะเกราะธรรมดาก่อน แล้ว ค่อยคิดจาก %เจาะเกราะ
    • เกราะคงเหลือ = เกราะ – ( เจาะเกราะ + (เกราะ – เจาะเกราะ)*%เจาะเกราะ )
    • แล้วค่อยเอา เกราะคงเหลือที่คำนวณได้ ไปดูกราฟโค้ง ว่ามี %เกราะเท่าไหร่

การดูดเลือด และ เวทแวมไพร์

ดูดเลือด และ เวทแวมไพร์  คิดเป็น % จากดาเมจที่ทำได้ครับ เช่น

ถ้าใส่ Soul Reaver 5 อัน จะดูดเลือด 50% สมมติ เวลาโจมตีเข้า 400 ก็จะดูดเลือด 200 ครับ

การโจมตีคริติคอล

เมื่อโจมตีติดคริติคอล (ตัวเลขดาเมจอันใหญ่ๆ ) ดาเมจที่เกิดขึ้นจะเป็น 2 เท่าของดาเมจปกติครับ

เช่น

พลังโจมตี 411 เกราะศัตรู 183 จากกราฟโค้งคือ ประมาณ 23%

ดาเมจปกติ = 411-(1-23%) = 316.47 ในรูปได้ 314

ดาเมจคริติคอล = ดาเมจปกติ *2 = 314*2 = 628

ใส่เครื่องหมาย $ ในสูตรยังไงไม่ให้งง

$
0
0

พื้นฐานที่สำคัญมากในการเขียนสูตร Excel คือการใส่เครื่องหมาย $ ใน Cell Reference (เช่น A1 C4 ) เวลาเขียนสูตร ซึ่งถ้าใครงงหรือทำไม่เป็น จะไม่สามารถเขียนสูตรที่ซับซ้อนในอนาคตได้เลย ดังนั้นเรามาปูพื้นฐานตรงนี้ให้แน่นยิ่งขึ้นดีกว่า

ทำไมต้องใส่เครื่องหมาย $ ล่ะ?

เพราะปกติว่าเขียนสูตรที่มี Cell Reference แล้วเรา Copy Cell ช่องนั้นไป Paste ที่อื่น Cell Reference มันจะเลื่อนไปตามทิศทางของการ Copy

ซึ่งบางกรณีการเลื่อนนั้นก็เป็นประโยชน์กับเรา เช่น

เวลา Copy ลงมาข้างล่าง Cell Reference ก็จะเลื่อนตามลงมา (จาก B3 -> B4 และจาก C3 -> C4) ซึ่งสะดวกมาก

แต่มันก็จะมีบางกรณีที่เราไม่อยากให้มันเลื่อนตามลงมา เช่น

ถ้า Copy ลงมาข้างล่างก็จะได้ผลลัพธ์ที่ผิดทันที สาเหตุเพราะมันดันเลื่อนลงมานั่นเอง

เราจึงต้องมีการใส่ $ ลงไปที่ Cell Reference เพื่อไม่ให้มันเลื่อน ซึ่งสามารถเลือกที่ Cell Reference ในสูตรแล้วกดคีย์ F4 เช่น

เวลา Copy ลงมา ไอ้ H1 ก็จะไม่เลื่อนตามแล้ว แค่นี้ก็สามารถ Copy ได้อย่างสบายในจ และผลลัพธ์ถูกต้อง

ใส่เครื่องหมาย $ ได้กี่แบบ?

ใส่ได้ทั้งหมด 4 แบบ ตามรูป ซึ่งสามารถเปลี่ยนรูปแบบได้เรื่อยๆ โดยการกดปุ่ม F4 เวลาเขียนสูตรแล้ว Cursor อยู่ที่ Cell Reference นั้นๆ

แล้วถ้าซับซ้อนขึ้นล่ะ คิดยังไง?

ตามรูปข้างล่าง เราจะต้องเขียนสูตรใน B3 ยังไง ให้เขียนทีเดียวแล้ว Copy ไปใช้ได้ทั้งตาราง (เช่น พอไปอยู่ที่ D6 จะต้องเป็น A6*D2)

ซึ่งถ้าเราไม่ใส่ $ เลยผลลัพธ์จะมั่วซั่ว เพราะ Cell Reference มันเลื่อน

วิธีคิดเวลาที่งง

ให้ดู Cell Reference ทีละตัว เช่น ให้ดู A3 ก่อน แล้วค่อยดู B2

A3 : คอลัมน์ A ต้องไม่เลื่อนไปทางขวา แต่แถวเลข 3มันต้องเลื่อนลงมาข้างล่าง ดังนั้น ต้องใส่ $ แค่คอลัมน์ A

B2 : คอลัมน์ B ต้องเลื่อนไปทางขวา แต่แถวเลข 2 ต้องไม่เลื่อนลงมาข้างล่าง ดังนั้น ต้องใส่ $ แค่แถว 2

เพียงเท่านี้ ก็ Copy Paste ได้ทั้งตารางแล้วววว หลักการง่ายๆ แค่ค่อยๆ ดูทีละ Cell Reference นะครับ ^^

แบบทดสอบความรู้ Excel เบื้องต้น

เทคนิคการทำงานใน Excel แบบคิดย้อนกลับ

$
0
0

วันนี้ inwexcel ขอนำเสนอเทคนิคที่ผมใช้บ่อยมากๆ ในการทำงานจริง นั่นก็คือ เทคนิคการ “คิดย้อนกลับ” นั่นเอง

การคิดย้อนกลับ คือ อะไร?

การคิดย้อนกลับ หรือ Backward Thinking เป็นแนวคิดที่เราจะตั้งต้นจากผลลัพธ์ที่อยากได้ แล้วค่อยๆ คิดย้อนกลับว่า มันต้องทำอะไรก่อน จึงจะเกิดผลลัพธ์แบบนั้นได้ ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ในที่สุดเราก็จะรู้ว่า แรกสุดแล้วเราควรจะต้องทำอะไรบ้างนั่นเอง

ปล. ถ้าใครรู้จักหนังสือพัฒนาตัวเองสุดฮิตอย่าง 7 Habits ก็จะพบว่าหลักการนี้ก็เหมือนกับหลักการ ที่ชื่อว่า Begin with the End in Mind หรือ เริ่มต้นด้วยจุดมุ่งหมายในใจ นั่นเองครับ

ตัวอย่างการคิดย้อนกลับใน Excel

เป้าหมาย

สมมติว่าสุดท้ายแล้ว เป้าหมาย คือ เราอยากได้กราฟ ที่แสดง Trend กำไรในแต่ละเดือน โดยเปรียบเทียบระหว่างช่องทาง E-Channel กับ ช่องทางการขายหน้าร้าน

คิดย้อนกลับ

ดังนั้น Step ก่อนหน้านั้นเราก็ต้องคิดว่า ถ้าจะทำกราฟแบบนั้นได้ ต้องมีข้อมูลอยู่ในลักษณะไหน?
ซึ่งจะพบว่าเราต้องทำการสรุปกำไร โดยแยกเวลาเป็นรายเดือน และมีแยกช่องทางการขายด้วย

และการที่จะสรุปข้อมูลให้ได้แบบนี้ ทำได้หลายแบบ เช่น ใช้สูตรพวก SUMIFS / ไปบวกข้างนอกแล้วมาพิมพ์สรุปใส่ Excel เลย /แต่วิธีที่ผมจะเลือกใช้ เพราะ สะดวกและรวดเร็วมากก็คือการใช้ PivotTable นั่นเอง ดังนั้นเราจะต้องคิดย้อนอีกทีแล้วล่ะว่าจะสร้าง PivotTable ได้อย่างไร?

คิดย้อนกลับ

จะสร้าง PivotTable ได้เราจะต้องเตรียมข้อมูลให้อยู่ในลักษณะของ Database ซะก่อน
ซึ่งปัจจัยสำคัญคือการ List ออกมาว่า Database จะต้องมี Field หรือ คอลัมน์ว่าอะไรบ้าง?

เราก็ต้องคิดว่า Pivot มันต้องมี 3 Field หลัก คือ เดือน / กำไร / ช่องทางการขาย

และเราก็ต้องคิดต่อว่าการจะได้ Field เหล่านั้นมา จะต้องเตรียม Field อะไรเพิ่มอีก ก็จะพบดังนี้

  • เดือน : ควรเก็บข้อมูลเป็นวันที่ไปเลยดีกว่า ละเอียดดี แล้วไป Group ใน Pivot หรือ จะสร้าง Field คำนวณเพิ่มก็ได้
    • วันที่ที่ขายได้
  • กำไร : จะรู้กำไรได้ ต้องรู้่ยอดขาย และ ต้นทุน
    • ยอดขาย
    • ต้นทุน
  • ช่องทางการขาย => มี Field เดียว แต่มี 2 ค่า คือ E-Channel และ หน้าร้าน

สรุป

สรุปแล้วเราต้องเตรียมข้อมูลดังนี้

  • วันที่ขายได้
  • ยอดขาย
  • ต้นทุน
  • กำไร
  • ช่องทางการขาย

ซึ่งอันนี้คือการคิดจากกราฟเป้าหมายอันเดียว แต่ถ้าในความเป็นจริงเราคิดว่าต้องทำกราฟ หรือวิเคราะห์ประเด็นอื่นมากกว่านี้ ก็ต้องเตรียม Field เพิ่มเติมอีก เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับ พนักงานขาย สินค้า ลูกค้า เป็นต้น

เมื่อเตรียมข้อมูลเสร็จแล้ว ก็เอาไปทำ PivotTable เพื่อทำตารางสรุป แล้วสร้างกราฟด้วย PivotChart ก็ได้ครับ

สรุปลำดับการเรียนรู้ Excel ที่มีประสิทธิภาพ

$
0
0

ผมขอสรุปลำดับการเรียนรู้ Excel  เพื่อให้การเรียนรู้ Excel ของคุณเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ดังนี้

การเรียนรู้ขั้นพื้นฐาน

  • หาแรงจูงใจ
    • คิดว่าทำไมต้องเก่ง Excel
    • หาโปรเจคทำ เพื่อให้เจอปัญหาที่ต้องแก้มากพอ
  • องค์ประกอบพื้นฐานของ Excel
  • การเขียนสูตร
  • ฟังก์ชั่นพื้นฐาน
    • การสรุปข้อมูล : SUM, COUNT, COUNTA, AVERAGE, MAX, MIN,
    • การปัดตัวเลข : ROUND, ROUNDUP, ROUNDDOWN, INT, MOD
  • การทำงานของ Excel กับวันที่และเวลา
  • Data Validation : การกำหนดเงื่อนไขการกรอกข้อมูล ว่ายอมให้กรอกอะไรใน Cell ได้บ้าง
  • การ Copy/Paste ข้อมูล
  • การใช้ฟังก์ชั่นกลุ่ม Logic เงื่อนไข
    • IF ตัวเดียว
    • IF ซ้อนกับ AND OR NOT เพื่อรองรับเคสที่มีหลายเงื่อนไข
    • IF ซ้อนกับ IF
    • ฟังก์ชันกลุ่ม IS…. เช่น ISERROR, ISTEXT, ISNUMBER, ISBLANK
  • การจัดการข้อมูล
    • การเตรียมข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบ Database ที่เหมาะสม
    • การใช้ Auto Filter และรู้ว่า Action ที่เราทำกับข้อมูลที่ถูก Filter อยู่จะทำให้กระทบกับอะไรบ้าง
    • การ Sort ข้อมูลและการ Sort หลาย Step
    • การ Map/Reference ข้อมูลด้วย ฟังก์ชั่นกลุ่ม Lookup พื้นฐาน เช่น VLOOKUP
    • ฟังก์ชั่นกลุ่ม Text พื้นฐาน เช่น LEN, TRIM, LEFT, MID, RIGHT
  • การทำ PivotTable เพื่อสรุปข้อมูล
    • การปรับ Summarized Value by เช่น SUM COUNT AVERAGE MAX MIN
    • การตีความข้อมูลที่ออกมา และ การ Double Click เพื่อดูที่มาของการคำนวณ
    • การ Group ข้อมูล ทั้งแบบ Auto และ Manual
    • การปรับ Layout และการ Rename ของ PivotTable
  • การทำ Dashboard / Visualization
    • การทำ Pivot Chart เพื่อนำเสนอข้อมูลในรูปแบบกราฟ
    • การใช้ Slicer แทน Filter เพื่อให้ควบคุม PivotTable/PivotChart ได้พร้อมๆ กันหลายตัว
    • การทำ Conditional Format แบบ Standard เพื่อใส่ Format แบบอัตโนมัติ
      เช่น ใส่ไฟเขียวไฟแดง การ Highlight สีตามค่าของแต่ละ Cell

การเรียนรู้ขั้นกลาง

  • การใช้ฟังก์ชั่นกลุ่ม Logic เงื่อนไข
    • CHOOSE
    • SUMIFS, COUNTIFS, AVERAGEIFS
  • การจัดการข้อมูล
  • การทำ PivotTable เพื่อสรุปข้อมูล
    • การปรับ Show Value As เช่น แสดงเป็น % of…
    • การปรับ Number Format และ Conditional Format บน PivtotTable
    • การตั้งค่า Field Setting /Option เช่น Show Item with No Data
    • การปรับแต่ง option เรื่อง GETPIVOTDATA
    • การใช้ Calculated Field / Calculated item รวมถึงการสร้าง Field ใหม่ที่จำเป็นเพื่อสรุปผลข้อมูลในแบบที่ต้องการ
  • การทำ Dashboard / Visualization
    • การทำกราฟหลอกตา (Mixed Chart)
    • การทำ Conditional Format แบบ Formula สำหรับเงื่อนไขขั้นสูง
  • การประยุกต์เจ๋งๆ
    • การใช้คีย์ลัดต่างๆ เพื่อให้ทำงานเร็วขึ้น
    • แนวทางการใช้ Excel Track งาน/Issue ต่างๆ
    • การใช้ Goal Seek เพื่อแก้สมการแบบง่ายๆ

การเรียนรู้ขั้นสูง

เนื้อหาหลักใน Excel

การเขียนโปรแกรม VBA

การทำ VBA ได้เป็นสิ่งที่ทำให้คนคนหนึ่งเป็นเหมือนเทพประจำที่ทำงานเลยก็ว่าได้ แต่ด้วย Trend ในอนาคต ผมคิดว่าการใช้ VBA อาจเริ่มจำเป็นน้อยลง แต่การเข้าใจ VBA ขั้นพื้นฐานก็ยังเป็นสิ่งที่ดีสำหรับคุณอยู่ดี ดังนั้นรู้พื้นฐานไว้ไม่เสียหายครับ

  • การบันทึกการกระทำของคุณด้วย Record Macro จะได้ไม่ต้องนั่งเขียน Code เองตั้งแต่ต้น
  • การเขียน VBA เพื่อควบคุม Flow การทำงานพื้นฐานเพื่อให้ Excel ทำงานแทนเรา
  • การเขียนฟังก์ชันเอาไว้ใช้เอง (User-Defined Function)
  • ผมแนะนำคอร์ส VBA ของคุณพิชาติครับ มีแบบฟรีให้ดูก่อนด้วย เรียนได้ตั้งแต่ไม่มีพื้นเลย

เรื่องเฉพาะทาง และ Add-in ต่างๆ

  • ฟังก์ชันทางการเงิน : PV, FV, PMT, RATE, IRR, NPV
  • Data Analysis Toolpak : เพื่อวิเคราะห์ทางสถิติ เช่น ANOVA, Regression

การใช้ Power Tool ต่างๆ

เครื่องมือเหล่านี้ เป็นเครื่องมือ Trend ใหม่ ที่น่าสนใจมากๆๆๆ และจะเป็นสิ่งที่ผมจะเน้นในการนำเสนอจากนี้เป็นต้นไป

  • Power Query = ช่วยเชื่อมต่อ และ จัดการข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่เหมาะสม (แทน Steps การจัดการข้อมูลได้เลย)
  • Power Pivot = วิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง เขียนสูตรได้ยืดหยุ่นกว่า PivotTable ธรรมดามากมายนัก (แทน Steps การทำ PivotTable เพื่อสรุปข้อมูลได้เลย)
  • Power View = นำเสนอข้อมูลด้วย Visualization เจ๋งๆ ที่ใคร เห็นแล้วก็ต้องทึ่ง (แทน Steps การทำ Dashboard / Visualizationได้เลย)
  • ซึ่ง 3 เครื่องมือข้างบนนี้ถูกรวมอยู่ในเครื่องมือ Power BI ซึ่งโหลดมาใช้ได้ฟรี!!

 

สร้าง Dropdown กี่ชั้นก็ได้ใน Excel (Infinity Dependent Dropdown)

$
0
0

ผมเคยสอนการทำ Drop down 2 ชั้นมาแล้ว ซึ่งก็พบว่าหลายคนทำแล้วติดขัดกับข้อจำกัดบางอย่างของมันอยู่…

คราวนี้ผมก็เลยขอทำคลิปสอนการทำ Drop down หลายชั้น (กี่ชั้นก็ได้ ใช้คำอะไรก็ได้) มาซะเลย จะได้ไม่ติดปัญหาอีกต่อไป 555

ใครสนใจคลิ๊กดูได้เลยครับ ในคลิปนี้ผมใช้้ OFFSET ในการแก้ปัญหาครับ

สร้าง Dropdown กี่ชั้นก็ได้ใน Excel ด้วย OFFSET
สามารถ download ไฟล์ประกอบได้ที่นี่ครับ http://bit.ly/infinity-dropdown

สิ่งที่เราเห็นใน Cell มาจากไหน ?

$
0
0

สิ่งที่เราเห็นใน Cell หนึ่งๆ ของ Excel นั้น จริงๆ แล้วมันมีที่มาหลาย Step มากเลยนะครับ และวันนี้ผมก็จะมาพูดถึงประเด็นนี้ให้เห็นกันชัดๆ กันไปเลย

ตัวอย่างที่ 1

สมมติว่าใน cell นึงเราเขียนสูตรว่า =1.5+3 ส่วนนี้คือ Formula

มันก็จะคำนวณจนได้ค่าผลลัพธ์ คือ 4.5 ส่วนนี้คือ Value

จากนั้นถ้าเราลอง ปรับ Format ให้ไม่มีทศนิยม โดยกดปุ่ม Decrease Decimal

จะได้เห็นตัวเลขใน Cell เป็น 5
แต่ค่าจริงๆ ใน Cell ยังคงเป็น 4.5 อยู่เช่นเดิมนะครับ

ลองพิสูจน์ได้โดยลองเช็คว่า A1=5 รึเปล่า? จะได้ FALSE แต่ถ้าเช็คว่าได้ 4.5 รึเปล่าจะได้ TRUE

ทั้งนี้เป็นเพราะการปรับ Format เป็นเพียงปรับสิ่งที่มองเห็น แต่ไม่กระทบกับค่าที่แท้จริงใน Cell แต่อย่างใดครับ

ตัวอย่างที่ 2

basic1

ใน A1 มีค่าที่แท้จริงเป็น 2.5 แต่แสดงผลเป็น 3 เพราะปรับ Format ให้ไม่มีทศนิยม
แต่เวลานำไปคำนวณ Excel ก็ยังเอาค่าที่แท้จริงคือ 2.5 ไปคำนวณอยู่ดี

เช่น =A1*A2 แปลว่าให้เอาค่าใน A1 คูณด้วยค่าใน A2 ซึ่งในที่นี้ได้ 5 ไม่ใช่ 6
เพราะเอาค่าที่แท้จริง คือ 2.5 ไปคูณ 2 ต่างหาก (ไม่ใช่ 3*2)

นี่คือประเด็นสำคัญที่ผมอยากจะเน้นย้ำในบทความนี้ครับ ^^


การทำ Data Validation ขั้นพื้นฐาน

$
0
0

บังคับให้กรอกข้อมูลตามที่กำหนดด้วย Data Validation

บางครั้งเราต้องมีการให้คนอื่นมากรอกข้อมูลในไฟล์ Excel ที่เราทำขึ้น เช่น ทำแบบฟอร์มช่วยคำนวณบางอย่างให้ ซึ่งเราเขียนสูตรไว้อย่างดี แต่สุดท้ายฟอร์มกลับใช้ไม่ได้เพราะคนกรอก กรอกข้อมูลไม่ตรงกับที่เราคิด เช่น กรอกผิดประเภท ผิดรูปแบบ

ปัญหานี้สามารถลดให้เหลือน้อยลงได้โดยการใช้เครื่องมือที่ชื่อว่า Data Validation

องค์ประกอบของ Data Validation

  1. ในแต่ละช่องจะยอมให้กรอกข้อมูลอะไรได้บ้าง (Settings) เช่น ตัวหนังสือ ตัวเลข วันที่
    โดยกำหนดละเอียดได้ด้วยว่า จะยอมให้กรอกได้กี่ตัวอักษร กรอกห้ามเกินค่าเท่าไหร่ ไม่ต่ำกว่าเท่าไหร่
  2. ข้อความแนะนำ เมื่อมีการเลือก Cell (Input Message)
  3. เมื่อกรอกผิดจะให้ขึ้นเตือนว่าอะไร?? (Error Alert)

Dropdown List

แต่ที่เจ๋งและใช้บ่อยสุดๆ คือ Settings ที่ชื่อว่า List ซึ่งสามารถทำเป็น Dropdown List เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานทำงานได้สะดวกมากขึ้น ตัวอย่างเช่น

ใครทำ Dropdown List ได้แล้ว สนใจอยากทำ Dropdown List หลายชั้น อ่านได้ที่นี่

Data Validation ขั้นสูง

นอกจากนี้ ยังสามารถกรอกเงื่อนไขเป็นสูตรได้ด้วยการเลือก Settings เป็น Custom
โดยหลักการคือ จะยอมให้กรอกค่าได้ก็ต่อเมื่อสูตรที่ใส่มีค่าเป็นจริงเท่านั้น (ถ้าเป็นเท็จจะขึ้นเตือน)

เช่นรูปข้างล่าง ผมใส่เงื่อนไขว่าต้องนับแต่ละคำได้ไม่เกิน 1 ครั้ง (รายละเอียดวิธีทำ อ่านได้ที่นี่)

prevent-duplicate-entry2

 

ทำไมถึงต้องเก่ง Excel ?

$
0
0

ทำน้อย ได้มาก สุดยอด!

ตัวผมเองเคยใช้งาน Excel ครั้งแรก น่าจะสมัยเรียนมัธยมต้น ไม่ก็มัธยมปลาย (จำเวลาแน่นอนไม่ได้จริงๆ ครับ รู้แต่นานมากแล้ว)… แต่ที่จำได้คือ ตอนใช้งานแรกๆ นั้น ผมไม่ได้มีความรู้สึกชอบ Excel เลยซักนิด ทำให้ผมทำได้แค่กรอกข้อมูลกับเขียนสูตรง่ายๆ และใช้เครื่องมือช่วยเหลือเป็นนิดหน่อยเท่านั้น ไม่ได้คิดจะฝึกฝนอะไรมากมาย เพราะไม่รู้ว่าจะใช้ Excel เก่งๆ ไปทำไม…

ผมยังคงความสามารถระดับเดิมอยู่จนเรียนจบปริญญาตรีวิศวะ จุฬาฯ และได้มีโอกาสไปทำงานเป็นวิศวกรที่บริษัทแห่งหนึ่ง ผมได้เห็นรุ่นพี่คนหนึ่งใช้ Excel เก่งมาก ซึ่งทำให้เค้าทำงานได้เร็ว (และดูสบายๆ ชิลๆ ด้วย) และที่สำคัญเขายังเขียนโปรแกรมบน Excel ให้มันทำงานอัตโนมัติได้ด้วย!

“เฮ้ย! Excel มันทำงานอัตโนมัติได้ด้วยเหรอ!?” ผมคิดในใจดังๆ (ด้วยความเซอไพรซ์มาก) ซึ่งตอนหลังผมก็ได้เรียนรู้ว่ามันคือการเขียนภาษาคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า VBA ซึ่งเป็นภาษาที่เอาไว้ควบคุมการทำงานของโปรแกรมบน Microsoft Office ได้ทั้งหมดนั่นเอง

“อย่างนี้ ถ้าเราใช้ Excel ได้เก่งเทพๆ แบบพี่คนนี้เราก็สบายขึ้นเยอะเลยสิ!!” นี่แหละคือหนทางที่จะ Work Smart อย่างแท้จริง ในแบบที่พนักงานธรรมดาๆ แบบเราก็น่าจะทำได้

ตอนนั้นเองทำให้ผมเริ่มที่จะสนใจ Excel ขึ้นมาเป็นครั้งแรก “ทำน้อย ได้มาก สุดยอด!”

Excel คือเครื่องทุ่นแรง

ที่บอกว่า “ทำน้อย ได้มาก” มันก็คือหลักการของ “เครื่องทุ่นแรง” (Leverage) ที่ช่วยให้คุณสบายขึ้น กูรูหลายท่านเรียกคำนี้ว่า “พลังทวี” ซึ่งจะเห็นว่าผลลัพธ์ ขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยหลักดังนี้

ผลลัพธ์ = แรงที่เราออก (ความรู้เกี่ยวกับงาน)  x  พลังในการทุ่นแรง (ความรู้ Excel)

  • ถ้าคุณมีทักษะเดิมที่ดี แต่ไม่รู้จักการนำ Excel มาช่วย คุณก็จะต้องออกแรงเยอะเกินความจำเป็น…
  • ในทางกลับกัน หากคุณเก่ง Excel มาก แต่ไม่มีทักษะหรือความรู้พื้นฐานอื่นเลย มันก็จะไม่ช่วยอะไร… เพราะว่า 0 x 100 ก็ยังคงได้ 0 อยู่ดี… จริงมั๊ยครับ?

Excel ทำอะไรได้มากกว่าที่คิด

ต่อมา ผมก็เปลี่ยนแผนไปเรียนต่อปริญญาโท MBA จึงลาออกจากบริษัทเดิมซะก่อน…การฝึก Excel ของผมจึงพักไปชั่วครู่ เพราะไม่รู้จะฝึกใช้ไปทำไม (ตอนนั้นคิดสั้นมากกก)

พอได้มีโอกาสมาเรียนโท MBA ที่จุฬาฯ ผมก็ได้เจอเพื่อนที่เก่ง Excel มากอีกคนหนึ่ง ตอนทำงานกลุ่มเพื่อแก้โจทย์ปัญหาเกี่ยวกับการวางแผนการผลิตสินค้าและกระจายสินค้า ว่าจะผลิตสินค้า A B C อย่างละกี่ชิ้นดี และส่งกระจายสินค้าด้วยเส้นทางไหนถึงจะได้กำไรสูงสุด มันบอกว่าถ้าให้ Excel มามันแก้ได้สบายๆ เลย

 “เฮ้ย! Excel มันแก้โจทย์ปัญหาได้ด้วยเหรอ? นึกว่าทำได้แต่ตารางข้อมูล” คราวนี้ผมไม่คิดในใจแล้ว ผมถามมันเลย

เพื่อนผมจึงอธิบายว่า Excel มีเครื่องมือแก้โจทย์ปัญหาที่ชื่อว่า Solver อยู่ ซึ่งช่วยให้เราหาคำตอบที่ดีที่สุดได้ ผมยิ่ง Surprise หนักเข้าไปใหญ่ เพราะในความคิดเดิมของผม Excel มันทำได้แค่การกรอกข้อมูลลงตาราง แล้วเขียนสูตรคำนวณจากข้อมูลที่เราใส่ลงไปเท่านั้น

ที่สำคัญตอนเรียนปริญญาโท MBA อาจารย์มีการสั่ง(และสอน)ให้ใช้ Excel ช่วยทำงานเยอะมาก ทั้งวิชา Accounting, Statistics, Finance, Operations Management และอีกมากมาย

ผมจึงได้เรียนรู้แล้วว่า Excel มันช่วยเราได้เกือบทุกวิชาเลย อย่างนี้ก็แปลว่าการทำงานจริงก็สามารถใช้ Excel มาช่วยได้อีกเพียบเลยน่ะสิ! (มิน่าล่ะ..พี่ที่ทำงานเก่าถึงดูเจ๋งจัง)

คราวนี้ผมเข้าไปค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตใหญ่เลย ผมได้ค้นพบความเจ๋งๆ ของ Excel เพิ่มอีกมากมาย (คุณลองดูสิ)

Basic ต้องแน่นก่อน

หลังจากเรียนจบโท ก็ถึงคราวที่ผมต้องเตรียมตัวหาที่ทำงานใหม่ ผมคิดว่าสิ่งที่ผมชอบในการเรียน MBA ก็คือ เรื่องเกี่ยวกับตัวเลข และการคำนวณต่างๆ ที่สำคัญผมก็รู้สึกชอบและอยากเก่ง Excel อีกด้วย ผมจึงพยายามหางานที่น่าจะได้วิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ เพราะมีโอกาสสูงที่จะได้ใช้ Excel เยอะๆ

แต่พอจะเขียน Resume แล้วมันให้กรอกทักษะการใช้ Microsoft Office ต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะถามทั้ง Word Excel PowerPoint

ผมเองในตอนนั้นก็รู้สึกกระดากมือ จะเขียนว่าผมเก่ง Excel ก็ไม่กล้า เพราะจริงๆ ตอนนั้นก็ไม่เก่งเท่าไหร่ ถึงเขียนมั่วไป เวลาสัมภาษณ์ก็โดนถามจนรู้ความจริงอยู่ดี

เมื่อคิดได้เช่นนั้น ผมจึงต้องฝึกที่จะเรียนรู้วิธีใช้ Excel วิเคราะห์ข้อมูลให้ผมเก่งขึ้นจริงๆ เท่านั้น!

พอเปิดอินเตอร์เน็ตดูก็พบว่ามีแหล่งความรู้ดีๆ เพียบ โดยเฉพาะ VDO บน YouTube แต่สิ่งที่ผมค้นพบคือ ผมดูไม่รู้เรื่องที่ควร… เหมือนความรู้มันไม่เชื่อมโยงกัน ผมไม่เข้าใจภาพรวม ทำตามได้อย่างเดียว พลิกแพลงไม่ได้!

ไม่ใช่ว่าวีดีโอเหล่านั้นสอนไม่ดีนะครับ ผมค้นพบว่า ที่ผมไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้เป็นเพราะผมขาดความรู้พื้นฐานที่จำเป็นต่างหาก … ซึ่งถ้าพื้นฐานไม่ดี ถ้าเทียบกับจรวดที่มีเป้าหมายจะไปดวงจันทร์ ก็คงไปไม่ถึงเพราะแท่นปล่อยจรวดไม่แข็งแรงพอ

เมื่อรู้อย่างนั้น ผมตัดสินใจไม่ทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว แต่พยายามทำตัวเป็นแก้วที่ไม่มีน้ำ (ซักหยด) แทนแล้วเริ่มต้นเรียนรู้ Excel ใหม่จากศูนย์

ผมตั้งใจอ่าน E-Book จำนวนมาก และเรียนวีดีโอสอน Excel ใน YouTube ของ ExcelisFun ซึ่งเค้าสอนดีมากๆ ตั้งแต่พื้นฐานจน Advance เลย แต่วีดีโอเค้ามีเยอะมาก (เป็นพันคลิป) ผมจึงต้องพยายามเลือกดูให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด

มั่นใจว่าคุณเองก็สามารถเก่ง Excel ได้

ข้อเท็จจริงอันหนึ่งที่หลายคนมักจะลืมคิดไปก็คือ คนเก่งทุกคนล้วนเคยไม่เก่งมาก่อนทั้งนั้น ไม่มีใครเล่นกีฬา เล่นดนตรี ทำงาน หรือใช้ Excel เก่งมาตั้งแต่เกิดหรอกครับ

อีกอย่างคือ ความเก่งนั้นถูกจำกัดด้วยความคิด หากเราคิดว่าเราไม่มีทางเก่งได้ เราก็จะไม่เก่งจริงๆ หากเราคิดว่าเราจะต้องเก่งให้ได้ แล้วพยายามจนถึงเป้าหมาย สุดท้ายเราก็จะเป็นคนที่เก่งจริงๆ จนได้

อย่างกรณีตัวผมเอง อย่างที่บอกว่าผมอยากทำงานที่น่าจะได้วิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ หรือทำงานเกี่ยวกับตัวเลข ผมจึงสนใจงานด้านการเงินการธนาคารเป็นอย่างมาก และเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการสัมภาษณ์งานเข้าทำงานที่ธนาคารสีเขียว (ซึ่งต่อไปจะขอเรียกว่า Bank) ผมใช้เวลาเกือบๆ  1 เดือนเต็มๆ ฝึก Excel อย่างจริงจัง ทั้งอ่านหนังสือ E-Book ฝรั่ง และดูคลิป Excel ใน YouTube มากมาย

พอได้มีโอกาสเข้ามาทำงานที่ Bank จริงๆ ผมใช้เวลาเพียงแค่ 2-3 เดือน ก็สามารถเรียนรู้ทักษะ Excel เพิ่มขึ้น จนผมได้กลายเป็นที่ปรึกษาด้าน Excel ประจำ Office ไปแล้ว!

เมื่อผมเริ่มมีความรู้มากขึ้น ผมก็อยากจะแบ่งปันความรู้ให้กับคนมากขึ้นอีก จึงตัดสินใจว่าจะต้องให้ความรู้กับคนในโลกออนไลน์ด้วย ระหว่างนั้นเพื่อให้เกิดความมั่นใจในความรู้ตัวเองมากขึ้น ผมก็ตัดสินใจลองไปสอบใบ Certificate Excel ของ Microsoft ด้าน Excel ดู จนในที่สุดผมได้รับใบ Certificate ชื่อ Microsoft Office Specialist : Excel ระดับ Expert มาจนได้ และผมก็พยายามหาความรู้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง (และตอนนี้ก็ยังไม่หยุด แถมกำลังเรียนรู้เครื่องมือใหม่ๆ ที่คนใช้ Excel อย่างเราสามารถต่อยอดได้ไม่ยาก อย่าง Power BI อีกด้วย)

ทั้งหมดนี้ก็เริ่มมาจากคนที่เคยไม่เก่ง Excel มาก่อนคนหนึ่ง เพราะฉะนั้น จงมั่นใจเถอะว่าคุณก็เก่ง Excel ได้ (ในเวลาไม่นานด้วย) 

ฟังก์ชันสรุปข้อมูลพื้นฐาน

$
0
0

SUM : ฟังก์ชันแรกที่คุณรู้จัก…รู้จักดีรึยัง?

หากถามว่า “อะไรคือฟังก์ชันใน Excel อันแรกที่คุณรู้จัก?” ผมคิดว่าหลายคนน่าจะตอบว่าฟังก์ชัน SUM แน่นอน

แต่หารู้ไม่ว่า มันอาจมีบางเรื่องที่คุณอาจไม่รู้เกี่ยวกับฟังก์ชัน SUM ก็ได้ เช่น

จากรูปนี้ ผม SUM ได้ผลลัพธ์ 6000 แทนที่จะเป็น 9000

สาเหตุเพราะว่า SUM จะทำการสรุปข้อมูล โดยหาผลรวมจาก Data ที่เป็นข้อมูลประเภทตัวเลข เท่านั้น!! (ถ้าใครไม่ระวัง เจอข้อมูลที่เน่าๆ มี Text ปนมาหน่อย อาจได้ผลลัพธ์ที่ผิดแบบไม่รู้ตัวก็ได้ครับ)

ฟังก์ชันสรุปผลแบบพื้นฐาน

ฟังก์ชันสรุปผลแบบ Basic ตัวอื่นๆ ก็เช่นกัน ส่วนใหญ่ก็จะหาผลสรุปจากข้อมูลที่เป็นตัวเลขเท่านั้น (แต่มีบางตัวที่สรุปได้จากข้อมูลประเภทอื่นด้วย เช่น การนับด้วย COUNTA)

  • SUM = หาผลรวมจากช่องที่เป็นตัวเลขเท่านั้น
  • AVERAGE = หาค่าเฉลี่ยจากช่องที่เป็นตัวเลขเท่านั้น
  • MAX = หาค่ามากสุดจากช่องที่เป็นตัวเลขเท่านั้น
  • MIN = หาค่าน้อยสุดจากช่องที่เป็นตัวเลขเท่านั้น
  • COUNT = นับ cell ที่เป็นตัวเลขเท่านั้น
  • COUNTA = COUNT ALL นับ cell ที่ไม่ใช่ช่องว่าง

ฟังก์ชันปัดตัวเลข ปัดเศษทศนิยม

$
0
0

เวลาเราใช้ Excel คำนวณตัวเลข บ่อยครั้งผลลัพธ์จะออกมาเป็นตัวเลขที่หน้าตาน่าเกลียดหน่อยๆ เพราะมีทศนิยมเยอะเกินไป เช่น 1234.5465 ซึ่งในชีวิตจริงเราไม่ค่อยอยากเห็นทศนิยมเยอะขนาดนี้อยู่แล้ว ดังนั้นฟังก์ชันที่สามารถปัดตัวเลขได้จึงเป็นสิ่งจำเป็น

ROUND, ROUNDUP, ROUNDDOWN

ฟังก์ชันที่ใช้บ่อยที่สุดในการปัดตัวเลขก็คือ ฟังก์ชันกลุ่ม ROUND, ROUNDUP, ROUNDDOWN นั่นเอง ซึ่งผมขอพูดถึงตัวที่เข้าใจง่ายที่สุดก่อน นั่นก็คือ ROUNDDOWN

ROUNDDOWN

ฟังก์ชันนี้ มีวิธีใช้งาน คือ

=ROUNDDOWN(number,num_digits) หรือแปลได้ว่า
=ROUNDDOWN(ตัวเลขที่จะปัด,จำนวนทศนิยมที่จะให้คงไว้)

เช่น =ROUNDDOWN(1234.5465 , 2) จะได้ 1234.54 เพราะต้องการทศนิยม 2 ตำแหน่ง และการใช้ ROUNDDOWN แปลว่า ตำแหน่งที่เหลือให้ตัดทิ้งได้เลย ไม่ต้องสนใจว่าจะมีค่ามากหรือน้อยแค่ไหน

เช่น =ROUNDDOWN(1234.5465 , 1) จะได้ 1234.5 เพราะต้องการทศนิยม 1 ตำแหน่ง และการใช้ ROUNDDOWN แปลว่า ตำแหน่งที่เหลือให้ตัดทิ้งได้เลย ไม่ต้องสนใจว่าจะมีค่ามากหรือน้อยแค่ไหน

ROUNDUP

ฟังก์ชันนี้ก็คล้ายๆ ROUNDDOWN แต่จะดูว่ามีตัวเลขถัดจากตำแหน่งทศนิยมที่ต้องการรึเปล่า? ถ้ามีก็จะปัดขึ้น เช่น

=ROUNDUP(1234.502,2) = 1234.51
=ROUNDUP(1234.502,1) = 1234.6

ROUND

ฟังก์ชันนี้ทำตัวผสมกันระหว่าง ROUNDUP และ ROUNDDOWN โดยจะดูว่าตัวเลขถัดจากตำแหน่งทศนิยมที่ต้องการถึงเลข 5 หรือไม่? ถ้าถึงก็จะปัดขึ้นแบบ ROUNDUP ถ้าไม่ถึง ก็จะปัดเศษทิ้งแบบ ROUNDDOWN เช่น

=ROUND(1234.5465,2) = 1234.55
=ROUND(1234.5465,1) = 1234.5

เรื่องของเรื่องคือ เจ้า ROUND, ROUNDUP, ROUNDDOWN ทั้ง 3 ตัวนี้ สามารถใส่จำนวน Digit ทศนิยมให้เป็นเลข 0 หรือ ติดลบก็ได้!! (วิธีการพิจารณาตัวถัดไปมันก็จะวิ่งย้อนกลับไปทางซ้าย) เช่น

=ROUND(1234.5465,1) = 1234.55
=ROUND(1234.5465,0) = 1235
=ROUND(1234.5465,-1) = 1230
=ROUND(1234.5465,-2) = 1200

สรุปแล้วเป็นดังนี้

 

หายหัวร้อน! ไขความลับวิธีคำนวณดาเมจเกม ROV และ ผลจากการออกของต่างๆ

$
0
0

ผมเพิ่งได้มีโอกาสเล่นเกม ROV (Realm of Valor) มาประมาณ 2-3 อาทิตย์ ซึ่งบอกเลยว่าเล่นแล้วติดมาก เพราะมันสนุก 555

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมหงุดหงิดมาก คือ มันหาข้อมูลยากมากเลยว่าวิธีคำนวณค่าดาเมจต่างๆ ในเกม มันคิดยังไงกันแน่? (คือพอนึกออกมะ? มันเป็นเกม ดังนั้น มันต้องมีกฎที่ชัดเจนแน่นอน แค่เรายังหาไม่เจอ)

ซึ่งถ้าเรารู้กฎของเกม รู้วิธีคำนวณต่างๆ มันจะทำให้เราเลือกกลยุทธ์การเล่นที่เหมาะสมได้นะ !!

ผมพยายามหาทั่วอินเตอร์เนตแล้วก็หาไม่เจอซักที สงสัยอาจเป็นเพราะต้องหาเป็นภาษาจีนรึเปล่าไม่รู้? แต่ช่างเถอะ ไหนๆ เกมมันก็มีโหมดฝึกซ้อมให้ปรับค่าเล่นได้ และมีโหมดสร้างเกมให้เราชวนเพื่อนมาทดลองการออกของได้อยู่แล้ว

ผมก็เลยถือโอกาสนี้ทำตัวเป็นนักวิทยาศาสตร์ทำการทดลองและไขความลับเองซะเลย!! ซึ่งผมจะอธิบายวิธีการทดสอบทีละขั้นตอน แต่ถ้าใครใจร้อนก็เลื่อนไปดูสรุปผลการทดลองท้ายบทความได้เลย

ค่า Stat พื้นฐานของแต่ละตัวละครไม่เหมือนกัน

ตัวละคนแต่ละตัว จะมี Stat พื้นฐานไม่เหมือนกัน
และเมื่อ Level Up จะมี Stat บางตัวเพิ่มขึ้นทำให้ตัวละครเก่งขึ้น แต่ Stat บางตัวจะไม่เพิ่มขึ้นนะ

ที่น่าสนใจคือ ไม่มีตัวไหนมี Stat พลังเวทติดตัวมาเลย และ การต้านทานเวท ทุกตัวเท่ากันหมดทุก Level เลย

 

การออกไอเท็มเพื่อเพิ่มค่า Stat

ไอเท็มในเกม สามารถออกได้สูงสุด 6 ชิ้นด้วยกัน ซึ่งมีหลักการคิดที่ผลของไอเทมจะแสดงออกมาซ้อนกันด้วย นั่นคือ

  • ถ้าไม่ใช่สกิลติดตัว : จะเอาค่า Effect มารวมกันเลย มีหลายอันก็เอามารวมได้เรื่อยๆ
  • ถ้าเป็น สกิลติดตัว : หากเป็น Effect เหมือนกัน จะเอา Effect อันที่มีค่ามากที่สุดมาอันเดียว

เช่น ผมออก Spooky Mask 2 อัน (ความสามารถของมันคือ +100 พลังเวท และ สกิลติดตัวคือ เจาะเกราะเวท +75)

มันจะ +100 พลังเวท 2 ที รวมเป็น +200 พลังเวท แต่เจาะเกราะเวท +75 ที่เป็นสกิลติดตัวจะมาแค่อันเดียว

แต่ถ้าออก Staff of Nuul ที่ + เจาะเกราะเวท 45% ด้วยมันจะถือว่าเป็นคนละ Effect กัน จึงสามารถแสดงผลได้

นี่ไง ได้ทั้งเจาะเกราะ +75 และ +45% เลย

ดังนั้น การออกสมุดเวท 6 เล่ม จึง +พลังเวท +400*6 = +2400 แต่จะบวกพลังชีวิตแค่ 1400 เท่านั้นนะ

วิธีการคิดค่าดาเมจ

การทดสอบ#1

ผมเข้าโหมดฝึกซ้อม แล้วเอาฮีโร่ไปโจมตีครีป และ Hero อีกฝั่งหนึ่ง โดยที่ไม่ได้ใส่ Item เจาะเกราะเลย แต่มีการเพิ่มพลังโจมตีไปเรื่อยๆ ผลลัพธ์ที่ได้คือ Damage ที่เกิดขึ้นจริงนั้นมีสัดส่วน %ที่คงที่ (%ที่ Damage หายไป คงที่) ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นเพราะเกราะ

การทดสอบ#2

เพื่อให้ได้ค่าของเกราะที่ชัดเจน จึงลองเข้าโหมดสร้างเกมกับเพื่อนอีกคน แล้วจดค่าสถิติต่างๆ เอาไว้

แล้วผลก็ออกมาชัดเลย ว่า % Damage ที่หายไปขึ้นอยู่กับ %เกราะของศัตรู อย่างชัดเจน (ค่า Damage จริง จะแกว่งเล็กน้อย % เลยไม่เป๊ะ)

การทดสอบ#3

จากการที่เพื่อนผมซื้อไอเทมเกราะเพิ่มเติม มันดูเหมือนว่าจจะทำให้ % เกราะเปลี่ยนแปลงไป ผมเลยลองจดข้อมูล เกราะ vs %เกราะ ดูแล้วพบว่ามันมีความสัมพันธ์เป็นกราฟเส้นโค้ง ที่ว่า

  • ช่วงแรกๆ ถ้าเพิ่มเกราะ %เกราะจะเพิ่มเยอะมาก
  • แต่ช่วงหลังๆ เวลาเกราะเยอะแล้ว เวลาเพิ่มเกราะเข้าไป… %เกราะก็จะแทบไม่เพิ่มแล้ว
    (แบบว่าเพิ่มให้ตายก็ไปตันที่ประมาณ 80%)
  • ซึ่งเลขนี้ใช้ได้กับค่า ต้านทานเวท กับ % ต้านทานเวทด้วย ซึ่งเป็นเลขเดียวกันเป๊ะเลย

ตารางเปรียบเทียบทั้งหมด ดูได้ที่นี่

เกราะ/ต้านทานเวท %เกราะ/%ต้านทานเวท
50 7.6%
58 8.8%
67 10.0%
75 11.1%
83 12.1%
84 12.2%
86 12.5%
87 12.6%
88 12.7%
89 12.9%
91 13.1%
92 13.2%
95 13.6%
96 13.7%
100 14.2%
101 14.4%
103 14.6%
104 14.7%
107 15.1%
109 15.3%
110 15.4%
118 16.4%
120 16.6%
121 16.7%
123 17.0%
125 17.2%
126 17.3%
128 17.5%
129 17.6%
135 18.3%
137 18.5%
138 18.6%
139 18.8%
140 18.9%
142 19.1%
143 19.2%
148 19.7%
149 19.8%
152 20.2%
154 20.4%
155 20.5%
156 20.6%
160 21.0%
169 21.9%
170 22.0%
171 22.1%
172 22.2%
176 22.6%
186 23.6%
188 23.8%
189 23.9%
190 24.0%
202 25.1%
205 25.4%
206 25.5%
210 25.9%
211 26.0%
217 26.5%
222 27.0%
223 27.0%
229 27.6%
230 27.7%
231 27.7%
232 27.8%
239 28.4%
240 28.5%
248 29.2%
251 29.4%
255 29.8%
256 29.9%
258 30.0%
263 30.4%
269 30.9%
271 31.1%
272 31.1%
275 31.4%
278 31.6%
282 31.9%
289 32.5%
292 32.7%
293 32.8%
305 33.7%
306 33.7%
308 33.9%
309 33.9%
312 34.2%
313 34.2%
315 34.4%
323 34.9%
326 35.2%
333 35.6%
335 35.8%
336 35.8%
338 36.0%
350 36.8%
353 37.0%
361 37.5%
369 38.0%
371 38.2%
374 38.3%
388 39.2%
394 39.6%
402 40.1%
409 40.5%
414 40.8%
441 42.3%
459 43.3%
467 43.7%
469 43.8%
494 45.1%
569 48.6%
594 49.7%
669 52.7%
694 53.6%
769 56.1%
794 56.9%
894 59.8%
994 62.3%
1094 64.5%
1194 66.5%
1294 68.3%
1394 69.9%
1494 71.3%
1594 72.6%
1694 73.8%
1794 74.9%
1894 75.9%
1994 76.8%
2094 77.7%
2194 78.5%
2294 79.2%
2354 79.6%
2414 80.0%
2474 80.4%
2534 80.8%
2594 81.2%
2654 81.5%

พอไปดูในข้อมูลฮีโร่ในโหมดฝึก เจ้า Thane ในโหมดฝึก มันจะมีเกราะ 259 มาตั้งแต่ต้นที่ Level 1 เลย ( ปกติ Thane Level 1 จะเกราะไม่เยอะขนาดนี้นะ) ซึ่งพอดูจากกราฟโค้งๆ ข้างบน เกราะ 259 มันคือ % เกราะประมาณ 30% พอดี จึงยิ่งมั่นใจว่าผมน่าจะเข้าใจเรื่องกราฟถูกต้อง

การทดสอบ#4

หลังจากนั้นผมลองไปดูเรื่องผลของการเจาะเกราะในโหมดฝึก

ตอนแรกก็ยังดูไม่ค่อยออกว่ามันคำนวณยังไงกันแน่ เพราะ เจาะเกราะดูเหมือนไม่ได้สัมพันธ์กับ Damage ที่หายไปตรงๆ (เช่น เจาะเกราะ 60 ไม่ได้ทำให้ค่า Damage ต่างกัน 60) แต่ที่แน่ๆ การเจาะเกราะ และ % เจาะเกราะ มันทำให้เกราะศัตรูลดลงไป

 

ลองคิดๆๆๆๆๆ

เจาะเกราะ

ถ้าเจาะเกราะ 60 คือการลดเกราะศัตรูลงไป 60 หน่วยล่ะ แล้วค่อยไปดูกราฟโค้งอีกทีว่า % เกราะเหลือประมาณเท่าไหร่?
นั่นคือ เกราะจะเหลือ =259-60 = 199 ซึ่งจะคิดเป็น % เกราะประมาณ 25%
ซึ่งใช่เลย!! จากผลการทดลอง Damage หายไป 24.7% ซึ่งใกล้เคียงมาก

%เจาะเกราะ

แล้ว %เจาะเกราะล่ะ ถ้า 35% มันคือลดเกราะศัตรูไป 35% รึเปล่าน่ะ?
นั่นคือ =259- (35%*259) = 168.35 จากกราฟโค้งได้ 21.9% ซึ่งจากการทดลองคือ 22% ซึ่งมันใช่เลย

ถ้า %เจาะเกราะ คือ 45% ก็ต้องเป็น =259- (45%*259) = 142.45 จากกราฟโค้งจะได้ 19.2% ซึ่งการทดลองได้ 20% ก็ถือว่าตรงนะ

ถ้ามีเจาะเกราะด้วย % เจาะเกราะด้วยล่ะ? จะคิดอะไรก่อนหลัง?

จากที่ผมทดลอง คือ เจาะเกราะ 60    %เจาะเกราะ 45

  • ถ้าคิด %เจาะเกราะก่อน แล้วค่อยคิดเจาะเกราะ
    • เกราะที่ถูกเจาะ =259*45%  + 60 = 176.55
    • เกราะคงเหลือ = 259-176.55 = 82.45 จากกราฟโค้งได้ 12.1%
  • ถ้าคิด เจาะเกราะก่อน แล้วค่อยคิด %เจาะเกราะ 
    • เกราะที่ถูกเจาะ =60 + (259-60)*45%  = 149.55
    • เกราะคงเหลือ = 259-149.55 = 109.45 จากกราฟโค้งได้ 15.3% เป๊ะ!!

แสดงว่ามันเอาเจาะเกราะไปลบก่อน แล้วค่อยเอา %เจาะเกราะไปคิดทีหลังครับ

และหลักการนี้ก็บ่งบอกด้วยว่า เนื่องจากรูปร่างกราฟโค้ง ถ้าเราเจาะเกราะของคนที่มีเกราะเยอะมาก ก็อาจทำให้ % เกราะยังคงเหลือเยอะอยู่เล่นกัน เรียกได้ว่า ช่วงเกราะเยอะ ทั้งเพิ่ม % เกราะยาก และลด % เกราะยากทั้งคู่นั่นแหละ!!
แต่วิธีที่จะลดเกราะของศัตรูที่เยอะๆ ได้ดีที่สุด ต้องเน้น item ที่เจาะเกราะเป็น % มากกว่านะครับ

 สรุปวิธีการคำนวณดาเมจ

  • พลังโจมตีกายภาพ และพลังเวท ใช้หลักการเดียวกันเป๊ะ โดยเทียบกันดังนี้
    • พลังโจมตี (กายภาพ) == พลังเวท
    • เกราะ == ต้านทานเวท
    • %เกราะ == %ต้านทานเวท
    • เจาะเกราะ == เจาะเกราะเวท
    • %เจาะเกราะ == %เจาะเกราะเวท
  • พลังโจมตีถูกต้านทานด้วยเกราะ
    • ดาเมจที่ศัตรูโดน = พลังโจมตี * (1- %เกราะ)
  • เกราะ เป็นตัวสร้าง % เกราะ
    • ยิ่งเกราะ มาก %เกราะ ก็ยิ่งมาก แต่จะเพิ่มในอัตราที่ลดลงเรื่อยๆ (ทั้งเกราะ และ ต้านทานเวท ใช้กราฟโค้งเดียวกัน)
  • เกราะศัตรูสามารถถูกลดลงได้จากการถูก เจาะเกราะ และ % เจาะเกราะ
    • เกราะคงเหลือจะโดน คิดจากเจาะเกราะธรรมดาก่อน แล้ว ค่อยคิดจาก %เจาะเกราะ
    • เกราะคงเหลือ = เกราะ – ( เจาะเกราะ + (เกราะ – เจาะเกราะ)*%เจาะเกราะ )
    • แล้วค่อยเอา เกราะคงเหลือที่คำนวณได้ ไปดูกราฟโค้ง ว่ามี %เกราะเท่าไหร่

การดูดเลือด และ เวทแวมไพร์

ดูดเลือด และ เวทแวมไพร์  คิดเป็น % จากดาเมจที่ทำได้ครับ เช่น

ถ้าใส่ Soul Reaver 5 อัน จะดูดเลือด 50% สมมติ เวลาโจมตีเข้า 400 ก็จะดูดเลือด 200 ครับ

การโจมตีคริติคอล

เมื่อโจมตีติดคริติคอล (ตัวเลขดาเมจอันใหญ่ๆ ) ดาเมจที่เกิดขึ้นจะเป็น 2 เท่าของดาเมจปกติครับ

เช่น

พลังโจมตี 411 เกราะศัตรู 183 จากกราฟโค้งคือ ประมาณ 23%

ดาเมจปกติ = 411-(1-23%) = 316.47 ในรูปได้ 314

ดาเมจคริติคอล = ดาเมจปกติ *2 = 314*2 = 628

Viewing all 211 articles
Browse latest View live